วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

“ฉลาดแบบ Warren Buffett” อ่านวันละ 500 หน้า ต้องอ่านอย่างมีวิจารณญาณและคิดตามไปด้วย

840354183688759.jpg
“ฉลาดแบบ Warren Buffett”

เชื่อว่าพวกเราทุกคนคงอยากจะมีความรู้มากขึ้น อยากจะฉลาดมากขึ้น แต่เราลองสังเกตไหมครับว่าแต่ละวันที่ผ่านไป เราฉลาดมากขึ้นบ้างไหม

หรือ เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาในแต่ละวันเราฉลาดกว่าเมื่อวันก่อนที่เรานอนหลับไปหรือ เปล่า? การพูดว่าอยากจะรู้มากขึ้น ฉลาดขึ้นนั้นทำได้ไม่ยาก แต่การจะปฏิบัติตัวให้ฉลาดและมีความรู้มากขึ้นนั้นไม่ง่ายเหมือนที่พูดหรอก ครับ ท่านผู้อ่านลองสังเกตพฤติกรรมของท่านใ
นแต่ ละวันซิครับว่าทำอะไรบ้าง นอกเหนือจากงานที่ต้องทำตั้งแต่เช้าจนค่ำแล้ว เมื่อกลับมาถึงบ้านเราก็เล่นเน็ต ดูทีวี เล่นเกม แล้วสุดท้ายก็หลับคามือถือหรือ Tablet

จริงอยู่นะครับ จากสิ่งที่เราปฏิบัติในแต่ละวันแต่ละคืน อาจจะทำให้เราพอที่จะมีความรู้ที่จะไปคุยกับเพื่อนร่วมงานในวันรุ่งขึ้นว่า ตอนนี้คุณชายทั้งห้าแห่งวังจุฑาเทพไปถึงไหนแล้ว แต่นั้นเป็นเพียงสิ่งที่รู้แล้วก็หายไป แต่ไม่ได้เป็นความรู้ที่สะสมและไปเพิ่มความฉลาดให้กับเรา เราลองมาดูนะครับว่ามหาเศรษฐีอย่าง Warren Buffett และเพื่อนร่วมธุรกิจเขา Charlie Munger ซึ่งทั้งคู่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Berkshire Hathaway บริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่และผู้ถือหุ้นใหญ่ในหลายๆ บริษัทชั้นนำของอเมริกาครับ มีวิธีการอย่างไรถึงจะสามารถเพิ่มความฉลาดของตนเองได้ และไม่ใช่ว่าทั้งคู่เป็นมหาเศรษฐีแล้วถึงฉลาดนะครับ แต่เพราะฉลาดจึงทำให้เป็นมหาเศรษฐี

เคล็ดลับของทั้งคู่คือการอ่านหนังสือให้มากครับ Buffett เคยให้สัมภาษณ์ว่าในแต่ละวันเขาเข้าทำงาน โดยนั่งอ่านหนังสือทั้งวัน และเขาประมาณว่าเขาใช้เวลากว่า 80% ของเวลาทำงานในการอ่านและคิด มีนักข่าวถาม Buffett ว่าทำอย่างไรถึงจะฉลาดขึ้น Buffett ตอบแบบง่ายๆ เลยครับ โดยหยิบกองกระดาษขึ้นมา 500 แผ่น และบอกเลยว่าให้อ่านหนังสือวันละ 500 หน้า ทุกวัน ซึ่งจะทำให้ความรู้ที่เราได้สะสมขึ้นเรื่อยๆ เหมือนดอกเบี้ยที่พอกพูนขึ้นทุกวัน

มีหลายๆ คนที่ทำตามคำแนะนำของ Buffett โดยนอกเหนือจากจะอ่านหนังสือวันละ 500 หน้าแล้วยังจดบันทึกเก็บไว้อีกด้วยครับว่าอ่านวันละกี่หน้า

อย่างไรก็ดี ใช่ว่าเอาแต่อ่านๆๆ หนังสือให้ได้วันละ 500 หน้าแล้วจะฉลาดขึ้นนะครับ อยู่ที่วิธีการอ่านของเราด้วย โดยหลักการของ Buffett นั้น เขาไม่ได้อ่านแบบอ่านให้ผ่านตาหรือให้ครบ 500 หน้า แต่ต้องอ่านอย่างมีวิจารณญาณและคิดตามไปด้วยครับ

การอ่านของทั้งคู่นั้นเป็นการอ่านเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ความรู้ต่างๆ และใช้ข้อมูล ความรู้ดังกล่าวเพื่อนำไปคิดต่อ จากนั้นนำสิ่งที่ได้จากการอ่านและการคิดไปตัดสินใจ ซึ่งส่วนใหญ่ของทั้งคู่ก็คือการตัดสินใจลงทุนในบริษัทใดบริษัทหนึ่ง

ผู้บริหารของ Berkshire ทั้งคู่ยอมรับว่าทั้งคู่ต่างไม่ฉลาดพอที่จะตัดสินใจโดยไม่คิดได้ เพียงแต่ทั้งคู่เมื่อเผชิญเรื่องที่ต้องตัดสินใจจะสามารถคิดได้เร็วและ สาเหตุที่สามารถคิดได้เร็วเนื่องจากทั้งคู่เตรียมตัวมาอย่างดีจากข้อมูลและ ความรู้ที่ได้จากการอ่านหนังสือ

ความยากที่ท่านผู้อ่านอาจจะบ่นในใจก็คือ แล้วทำอย่างไรถึงจะสามารถหาเวลาอ่านหนังสือได้วันละ 500 หน้า? ทั้งคู่ก็แนะนำไว้ครับว่าจะต้องหาเวลาให้ได้วันละชั่วโมง หลักคิดง่ายๆ ของ Charlie ก็คือ ในเมื่อเขาสามารถทุ่มเวลาให้กับลูกค้าได้ แล้วใครคือลูกค้าที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา คำตอบก็คือตัวเขาเองครับ ดังนั้น ถ้าเราให้เวลากับลูกค้าได้ เราก็ควรจะให้เวลากับลูกค้าที่สำคัญที่สุดคือตัวเราเอง ดังนั้นเราก็ต้องพยายามจัดสรรเวลาให้กับตัวเองอย่างน้อยวันละหนึ่งชั่วโมงใน การอ่านหนังสือครับ

คราวนี้หันมาดูที่เมืองไทยกันบ้างครับ เราประกาศอยากจะเป็น World Book Capital แต่ถ้าดูปริมาณการอ่านหนังสือของคนไทยเรา ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มุ่งสู่ความเป็นเมืองหลวงของการอ่านหนังสือโลกเลยครับ สังเกตง่ายๆ จากพฤติกรรมของคนกรุงเทพเวลาขึ้นรถขนส่งสาธารณะดูก็ได้ครับ คนไทยส่วนใหญ่จะนั่งเฉยๆ ฟังเพลง หรือ ก็กดโทรศัพท์ของตัวเองเล่น ในขณะเดียวกันสอบถามเพื่อชาวต่างประเทศว่าเขาทำอะไรกันบนรถขนส่งสาธารณะ คำตอบที่ได้รับก็คือส่วนใหญ่อ่านหนังสือครับ

ท่านผู้อ่านลองสังเกตพฤติกรรมตนเองดูนะครับว่าวันๆ หนึ่งท่านอ่านหนังสือกันวันละกี่หน้า? หรือ มีเวลาอ่านหนังสือวันละกี่นาที? และนอกจากอ่านหนังสือแล้ว ท่านผู้อ่านได้คิดตริตรองในสิ่งที่ได้อ่านไปหรือไม่?



ดร. พสุ เดชะรินทร์
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น