วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

`วิถีปัจจุบัน´ ของ...ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

052458708174526.jpg

`วิถีปัจจุบัน´ ของ...ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

บุคลิกภาพอย่างผมมันเข้ากันไม่ได้กับเศรษฐกิจฟองสบู่... มันเข้าไม่ได้กับระบบที่แข่งขันเอารัดเอาเปรียบ เพราะเราเชื่อเรื่องความสมถะสำรวม เชื่อเรื่องแบ่งปันช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

เพราะฉะนั้น...จึงเกิดสภาพที่เรารู้สึกถูกกดดันและถูกตามล่าตามล้าง รู้สึกแปลกแยก โดดเดี่ยว คิดอะไรไม่เหมือนเพื่อนพ้องคนรอบข้าง ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหนเหมือนกับว่าเราไม่เคยพบกับการต้นรับที่ดี เราเข้ากับเขาไม่ได้

สิ่งเหล่านี้...นำพาผมมาถึงจุดที่รู้สึกเหนื่อยล้าหมดแรงอย่างยิ่ง

กระทั่งนำไปสู่ชีวิตส่วนตัวที่ล้มเหลว

:::::::::::::::


หลัง ๒๕๔๐ ไม่นาน...ผมกับภรรยาได้แยกทางเดินกัน แม้เราจะไม่ได้โกรธเกลียดกันและเพียงเปลี่ยนความสัมพันธ์จากคู่ครองมาเป็นเพื่อน แต่มันก็สั่นคลอนความรู้สึกนึกคิดของผมอย่างถึงราก

ตอนนั้นผมเริ่มเข้าสู่วัย ๕๐ กว่าแล้ว...ผมต้องถามตัวเอง ว่าจะยืนต้านกระแสหลักในสังคมแบบที่ผ่านมา แล้วสะสมความเจ็บปวดขมขื่นต่อไป หรือ ควรเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมเสียใหม่เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้

มีหนทางไหนบ้างที่เราไม่ต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้...ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องยอมเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่เราไม่เห็นด้วย

ในช่วงนี้...ผมได้ลงลึกสำรวจวิจารณ์ตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย และในที่สุดก็ค้นพบว่ามีอะไรบางอย่าง ไม่ถูกในวิธีคิดของผมเอง

:::::::::::::::


ประการที่หนึ่ง :

ที่ผ่านมาผมยึดถือในการต่อสู้และมองโลกเป็นความขัดแย้งมากเกินไป ที่ทางธรรมะเขาเรียกว่า ทวินิยม (Dualism) เห็นว่าทุกอย่างดำรงอยู่เป็นคู่ มีดีมีชั่ว มีขาว มีดำ แล้วก็ไปยืนเลือกข้างใดข้างหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ต่อสู้กันมากก็เหนื่อยมาก ตัวผมเองทั้งถูกทำร้ายและทำร้ายผู้อื่นมาอย่างต่อเนื่อ

ประการที่สอง :

ผมเริ่มมองเห็นว่าอะไรหลายๆ อย่างที่ผมยึดถือ เป็นเรื่องที่ผมคิดไปเอง เป็นอัตวิสัย ที่โลกเขายังไม่พร้อมจะเห็นด้วย เราพยายามเอาตัวเองไปบังคับโลก เมื่อไม่ได้ ดังใจก็ผิดหวังเศร้าโศก แล้วยังโดนเขาตอบโต้มาแรงๆ

เพราะฉะนั้น `เหตุแห่งทุกข์´ จึงอยู่ในอัตตาของเราเอง ไม่ว่าจะเรียกมันว่าอุดมคติหรืออุดมการณ์อะไรก็ตาม การวิจารณ์ตัวเองใน ลักษณะนี้ได้พาผมย้ายความคิดจากทางโลกมาสู่ทางธรรมมากขึ้นแบบรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง

:::::::::::::::


แต่นั่นยังไม่มีผลเปลี่ยนแปลงเท่ากับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นระยะนั้น

ประสบการณ์ดังกล่าวมีพลังมากกว่าเหตุผลและความคิดใดๆ พูดให้ชัดขึ้นก็คือ ความเจ็บปวด กับชีวิตมากทำให้ใช้วิธีตัดตัวเองออกจากอดีตและอนาคต ทำให้ผมอยู่กับปัจจุบันขณะ

ซึ่งถ้าพูดในภาษาธรรมเวลานี้ผมรู้แล้วว่ามันคือ...สมาธิ แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าคืออะไร รู้แต่ว่าสบายใจ โปร่งโล่งไปหมด อยู่กับปัจจุบันขณะ

มันทำให้เราปลดแอกตัวเราออกจากภาระทางจิต ที่เราแบกมาตลอดว่าเราเป็นใคร มาจากไหน เคยผ่านอะไรมาบ้าง ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เราปลดออกหมด เรียกว่าปลดแอกจากอัตตา

:::::::::::::::


ในตอนแรก...ผมทำสิ่งนี้ไปเพื่อหาทางดับทุกข์ด้วยตัวเอง โดยไม่มีทฤษฎีอะไรชี้นำ แต่ว่าทำแล้วรู้สึกว่ามันช่วยให้อยู่รอดในช่วงที่เราอาจจะอยู่ไม่รอด...ก็เลยยึดไว้เป็นแนวทาง

พอไม่คิดว่าตัวเองเป็นใคร ความรู้สึกทุกข์ร้อนมันหายไปมาก

ข้อแรก...ไม่เดือดร้อนว่าคนอื่นจะมองเราอย่างไร
ข้อสอง...ไม่มีความเห็นว่าโลกและชีวิตควรจะเป็นอย่างไร

เราไม่มีข้อเรียกร้องทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น เช่นเดียวกับการที่เราไม่เอาอดีตมากลุ้มและเอาอนาคตมากังวล

มันทำให้เราไม่มีสิ่งที่ผิดหวัง ไม่มีสิ่งที่เสียใจ ผมทำอย่างนี้อยู่พักใหญ่ ทีแรกก็เหมือนกับหลอกตัวเองด้วยการปิดกั้นความทุกข์โศกไม่ให้มันเข้ามาในห้วงนึก

แต่พอทำไปมากขึ้น ปรากฏว่ามันเกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตขึ้นมาโดยไม่ได้คาดฝัน คือตื่นขึ้นมาวันหนึ่งผมรู้สึกมีความสุขอย่างไม่มีเหตุมีผล

ผมรู้สึกได้ว่าความสุขมันมาจากข้างใน มันอยู่ในตัวผม เป็นความปลื้มปีติอะไรบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับโลกภายนอกเลย เรื่องราวทุกข์โศกที่เคยมีมาดูเหมือนจะหายไปหมด

:::::::::::::::


จากนั้นความรู้สึกที่ผมมีต่อโลกรอบๆ ตัวก็เปลี่ยนไปด้วย ผมเริ่มไปนับญาติกับต้นไม้ จิ้งจก นก หนู กระรอก ผมพูด กับพวกเขาเหมือนเป็นคนด้วยกัน ทำร้ายเขาแบบเดิมๆ ไม่ได้

กระทั่งมดผมก็ไม่ฆ่า จิ้งจกตกไป ในโถส้วมก็คอยช่วย มดมาขึ้นชามอาหารที่ผมให้หมา ผมต้องเคาะออก ไม่เอาน้ำราดลงไป ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

มันรู้สึกขึ้นมาเองว่าไม่อยากทำร้ายชีวิตใดๆ ผมแปลกใจมาก เพราะว่าเดิมเป็นคนที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาเยอะ เป็นคนที่ทำบาปมาเยอะมาก วันดีคืนดีพบตัวเอง มีจิตใจแบบนี้ มันอธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นไปได้อย่างไร

:::::::::::::::


แล้วที่สำคัญก็คือในความเบิกบานจากข้างในนี้ ผมเลิกรู้สึกพ่ายแพ้ขมขื่นกับชีวิตโดยสิ้นเชิง ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองมีอะไรน่าสงสาร ไม่ทุกข์ร้อนที่เคยแพ้สงครามปฏิวัติ หรือมีปัญหาส่วนตัวอะไรทั้งสิ้น

เป็นครั้งแรก...ที่ผมมองอดีตของตัวเองได้ทุกเรื่องด้วยความรู้สึกนิ่งเฉย

สิ่งเหล่านี้มันทำให้ผมค้นพบว่า...ชีวิตทุกข์สุขขึ้นอยู่กับมุมมองมากทีเดียว และบ่อยครั้ง เรามักเอาความคิดสารพัดไปปรุงแต่งมันจนรกรุงรังไปหมด กระทั่งหาแก่นแท้ไม่เจอ

บางคนยึดติดเงื่อนไขภายนอก โดยเฉพาะเงื่อนไขทางวัตถุและการชื่นชมของสังคม ก็หลับหูหลับตาหาแต่วัตถุและการยอมรับของคนอื่น

บางคนอย่างผมไม่ยึดถือวัตถุมากเท่ากับยึดติดในอุดมคติต่างๆ ก็ทำให้เกิดอารมณ์ทางลบสูงมาก เราจะต้านทุกอย่าง ที่ไม่เป็นไปตามคิด ผูกตัวเองไว้กับตัวความคิด แล้วหลงความคิด จิตใจก็มีแต่ว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน ทะเลาะเบาะแว้ง ทุกข์ร้อนอยู่ตลอดเวลา

:::::::::::::::


ท้ายที่สุดแล้ว...ผมคิดว่าชีวิตที่จะให้ความสงบแก่คุณได้ คือชีวิตที่ไม่มีจุดหมายกดทับ ไม่มีอุดมคติเป็นเครื่องร้อยรัด แต่เป็นชีวิตที่มีมรรควิถี

ผมเคยเขียนว่า...แต่ละก้าวที่คุณก้าวไป มันสำคัญกว่าจุดหมาย คุณเป็นหนึ่งเดียวกับ ก้าวนั้นหรือเปล่า ถ้าคุณเป็นหนึ่งเดียวกับก้าวนั้นวันนี้คุณพบตัวเองแล้ว แต่ละนาทีที่ผ่านไป ก็ครบถ้วนแล้ว

แต่ถ้าคุณขัดแย้งกับปัจจุบันขณะของคุณอยู่ตลอดเวลา ตัวทำอย่างหนึ่ง ใจอยากทำอีกอย่างหนึ่ง คุณจะมีแต่ความทุกข์ ...นั่นคือชีวิตของคนในโลกปัจจุบัน?

:::::::::::::::

Credit : บทสัมภาษณ์ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล พิมพ์ลงในนิตยสารปาจารยสาร (ฉบับตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๔๙)


ภาพประกอบ http://waymagazine.org

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น