วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ถนอมดวงตาอย่างไร ให้ใช้ได้ยาวนาน

ถนอมดวงตาอย่างไร ให้ใช้ได้ยาวนาน......

ทุกคนย่อมอยากมีสายตาที่มองเห็นแจ่มชัดไปจนตลอดอายุขัย
แต่ด้วยความเสื่อมของร่างกายที่มาพร้อมกับวัยที่มากขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพการมองเห็นลดลง
สายตาเริ่มขุ่นมัวไปตามอายุ การดูแลสุขภาพตาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ดวงตามีสุขภาพแข็งแรง
และใช้งานได้อย่างปกตินานที่สุด ซึ่งการดูแลรักษาสุขภาพดวงตาเริ่มตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงวัยสูงอายุ ดังนี้

วัยเด็ก

- สำหรับเด็กแรกเกิดที่คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อย และต้องอยู่ในตู้อบให้ออกซิเจน
จำเป็นต้องได้รับการตรวจตาจากจักษุแพทย์ตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อประเมินโรคเส้นเลือด
เติบโตผิดปกติที่จอประสาทตา (Retinopathy of prematurity : ROP) ซึ่งหากเกิดขึ้น
ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ด้วยเลเซอร์หรือการผ่าตัด ไม่เช่นนั้น อาจมีภาวะแทรกซ้อนจนถึงตาบอดได้
- เด็กอายุ 2 เดือนขึ้นไป ถ้าหากยังไม่มองหน้าแม่ หรือไม่ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม คล้ายมองไม่เห็น ต้องได้รับการตรวจโดยจักษุแพทย์

- เด็กในวัยเข้าเรียน ที่ดูหนังสือหรือโทรทัศน์ใกล้มากผิดปกติ เอียงคอมอง หยีตามอง กระพริบ
ตาบ่อย อาจมีปัญหาทางสายตาสั้น ยาว เอียง หรือสาเหตุอื่น สมควรได้รับการตรวจโดยจักษุแพทย์

วัยทำงานที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ

- ควรพักสายตาโดยมองไกลประมาณ 5 - 10 นาที ต่อการทำงานคอมพิวเตอร์ 1 ชั่วโมง
เพื่อลดการเพ่งของสายตาจะช่วยคลายการปวดเมื่อยล้าตาและอาการตาแห้งได้
- ด้านหลังจอคอมพิวเตอร์ไม่ควรมีแสงสว่างมาก เพราะจะรบกวนการมองจอคอมพิวเตอร์
เช่น ไม่ควรวางจอคอมพิวเตอร์ของเราหันหลังให้กับหน้าต่าง
- ศีรษะของเราควรอยู่สูงกว่าจอคอมพิวเตอร์เล็กน้อย จะได้ไม่ต้องเงยหน้ามองจอคอมพิวเตอร์
ซึ่งทำให้เมื่อยล้าได้ง่าย หรืออย่างน้อยไม่ควรอยู่ต่ำกว่าจอแสดงผล
- ถ้ามีอาการตาแห้ง เช่น แสบเคืองตา ให้กระพริบตาบ่อยขึ้นเพื่อกวาดน้ำตามาเคลือบผิวตา
หรือพักการใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะๆ ถ้ายังมีอาการมาก การใช้น้ำตาเทียมหยอดตาจะช่วยบรรเทาอาการได้
- ผู้ที่มีปัญหาทางสายตา อาจทำให้ปวดเมื่อยล้าตาง่าย เช่น คนสายตาเอียง หรือผู้ที่มีอายุ
มากกว่า 40 ปีขึ้นไป ซึ่งจะมีปัญหาเวลามองใกล้ การใส่แว่นตาที่เหมาะสมจะช่วยแก้ปัญหาได้

วัยผู้ใหญ่อายุ 40 ปีขึ้นไป

- ควรตรวจวัดความดันลูกตาอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อตรวจหาต้อหิน โดยเฉพาะผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นต้อหิน เพราะบางคนอาจเป็นต้อหินโดยไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าปล่อยไว้โดยไม่ได้รักษาเป็นเวลานานจะทำให้สายตาเสื่อมลงหรือบอดได้ และภาวะตาบอดจากต้อหินนั้นไม่สามารถรักษาให้สายตากลับมามองเห็นได้
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน ควรตรวจจอประสาทตาเพื่อดูว่ามีเบาหวานขึ้นตาหรือไม่ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ที่สำคัญคือควรรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และไขมันในเลือดให้อยู่ในระดับปกติอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานขึ้นตาได้ดี
- ต้อกระจก พบได้ตั้งแต่อายุ 50 - 60 ปีขึ้นไป รักษาได้ด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียม ทำให้การมองเห็นกลับมาใกล้เคียงหรือเหมือนปกติได้
- โรคจุดรับภาพเสื่อม ปัจจุบันมีการรักษาใหม่ๆ เช่น การฉีดยาชะลอการเกิดใหม่ของเส้นเลือด การตรวจพบโดยจักษุแพทย์ตั้งแต่ระยะแรกของโรคจะช่วยรักษาการมองเห็นไว้ได้ดีกว่าเดิมมาก

ข้อควรปฏิบัติเพื่อดูแลสุขภาพตาให้ดี

- หมั่นตรวจตาเป็นประจำโดยจักษุแพทย์ ในเด็กควรพบจักษุแพทย์อย่างน้อยในช่วง 3 - 5 ปีก่อนเข้าโรงเรียน และรับการตรวจเป็นประจำเมื่อมีปัญหาเรื่องสายตา ผู้สูงอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพตาปีละ 1 ครั้ง ส่วนในผู้ที่มีความเสี่ยงเฉพาะโรคตา เช่น โรคเบาหวาน หรือมีประวัติโรคตาในครอบครัว เช่น ต้อหิน จำเป็นต้องได้รับการตรวจตาบ่อยขึ้นตามแพทย์นัด
- สวมแว่นกันแดดเป็นประจำเมื่อออกแดด หรือต้องใช้สายตาในที่มีแสงมาก เพื่อป้องกันโรคต้อเนื้อ ต้อกระจก จอรับภาพเสื่อม
- สวมแว่นป้องกันการกระแทกที่ได้มาตรฐาน สำหรับผู้ทำงานที่มีความเสี่ยง เช่น ช่างเชื่อมโลหะ ช่างไม้ ผู้เล่นกีฬา


ที่มาข้อมูล vcharkarn.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น