วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การทำ connectable = yes (ฉบับสมบูรณ์)

การทำ connectable = yes (ฉบับสมบูรณ์)
1.connectable = yes คืออะไร? และทำไมต้องทำให้เป็น yes?
ใน การใช้งานเครือข่ายบิททอแรนท์นั้น ผู้ใช้งานจำเป็นต้องติดต่อกับ tracker (server) และ เครื่องผู้ใช้งานอื่น เพื่อรับ-ส่งไฟล์ระหว่างกันและกัน แต่การเชื่อมต่อนั้น ๆ จะทำได้ดีหรือไม่
ซึ่ง ค่าสถานะการเชื่อม ต่อนี้ หากเราตั้งค่าให้การเชื่อมต่อจากเครื่องอื่นสามารถติดต่อกับเครื่องเราได้ สะดวกหรือมีประสิทธิภาพ ก็จะได้รับสถานะการเชื่อมต่อว่า “เชื่อมต่อได้ (หรือ connectable = yes)” แต่ถ้าในระหว่างกระบวนการเชื่อมต่อติดปัญหาใด ๆ เช่นติด Firewall ติด Router (ไม่รู้จะไปเครื่องไหนดี) ฯลฯ  ก็จะทำให้สถานะของคุณเป็น “ไม่เชื่อมต่อ (connect=no)”
ประโยชน์ที่ได้จากการที่ connect=yes
1. คุณจะสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องอื่น ๆ (โดยเฉพาะกับที่เป็น yes เหมือนกัน) ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ ดูดและปล่อยได้เร็วยิ่งขึ้น
****************************************************
2. แล้วทำอย่างไร ให้ connect = yes?
ผมจะทำเป็นลำดับขั้นตอนให้คุณดูตามไปเรื่อย ๆ นะครับ ไปดูกันเลย…
ขั้นแรกที่สำคัญที่สุด… คุณใช้เน็ทของอะไร?
A. เน็ทบ้านคุณเอง แบบ ADSL
B. เน็ทบ้านคุณเอง แบบดาวเทียม
C. เน็ทบริษัท / โรงเรียน / มหาวิทยาลัย / หอพัก หรือสถานที่อื่นที่เป็นเน็ทแชร์จากส่วนกลาง
D. เน็ทผ่านระบบ GPRS/EDGE
A หากคุณใช้เน็ทบ้านแบบ ADSL
สิ่งที่คุณต้องเตรียม…
- IP (ภายใน) เครื่องของคุณ (วิธีการดู IP เครื่องของคุณ คลิกที่นี่)
- ยี่ห้อและรุ่นของ Router หรือ Modem เช่น D-Link DSL-500T (D-Link คือยี่ห้อ, DSL-500T คือรุ่น) ดูได้ฉลากที่เครื่องของคุณ หรือ บนกล่อง ฯลฯ
B หากคุณใช้เน็ตบ้านแบบดาวเทียม
เนื่องจากผมไม่เคยใช้ ลองอ่านจาก กระทู้นี้ ดู (ยังไม่ชัดเจนว่าทำได้หรือไม่?)
C เน็ทบริษัท / โรงเรียน / มหาวิทยาลัย / หอพัก หรือสถานที่อื่นที่เป็นเน็ทแชร์จากส่วนกลาง
ให้คุณตอบคำถามต่อไปนี้….
1) สำหรับกรณีนี้ คุณเป็นผู้ดูแลระบบ หรือมีสิทธิ์ในการแก้ไขค่าของ router ส่วนกลางที่ใช้ต่อเน็ทได้หรือไม่?
- ใช่, ฉันคือผู้ดูแลระบบ (ใช้วิธีเดียวกันกับแบบ A)
- ไม่ใช่, ฉันเป็นเพียงผู้ใช้งานธรรมดาเท่านั้น      (เสียใจด้วย… คุณไม่สามารถทำให้ connect=yes   เองได้ )   หากต้องการทำให้ connect=yes จริง ๆ ให้อ่าน ข้อ 3 ด้านล่างสุด
2) ระบบการแชร์ internet ในองค์กรของคุณ เป็นแบบใด?
- แบบอยู่ในเครือข่ายภายในเดียวกันกับ router คือทุกเครื่องต่อตรงไปยัง router (ใช้วิธีเดียวกันกับแบบ A)
- แบบใช้ server เป็น Firewall/Proxy Server ควบคุมการใช้งานอินเทอร์เน็ตในองค์กร (เสียใจด้วย… ขณะนี้ผมยังไม่ทราบวิธี forward ต่อจาก server ไปยัง Client หากใครทราบช่วยบอกผมที… หากต้องการทำให้ connect=yes จริง ๆ ให้อ่านข้อ 3 ด้านล่างสุด
D หากคุณใช้เน็ตผ่านระบบ GPRS/EDGE
สั้น ๆ ง่าย ๆ ครับ ทำไม่ได้ครับ ใช้โหลดหน้าเว็บมาคุยเฉย ๆ ก็ลำบากแล้ว  ต่อให้ใช้ COLO ตามข้อ 3 เวลาโหลดกลับมาเครื่องเราก็คงไม่ไหว ทางเดียวที่จะทำได้คือใช้โคแล้วเอา Harddisk ไป Jump เอาเวลาโหลดเสร็จน่ะครับ
ขั้นที่ 2. ปิด Firewall หรือ กำหนดกฏ (Policy) ให้อนุญาตสำหรับโปรแกรมบิทของคุณ
- หากคุณใช้ Windows XP คุณจำเป็นต้องตรวจสอบ ดังนี้ (Windows Vista จะคล้าย ๆ กัน)
1) ไปที่ Start–>Control Panel–>Windows Firewall
2) เลือก off เพื่อปิดการใช้งาน firewall
http://img.thailandtorrent.com/show.php?id=bc6e32ab1c8c9a30e40f096cfb559505
3) หากต้องการใช้งาน firewall สามารถเลือก on ได้ แล้วไปตั้งกฎยกเว้นสำหรับโปรแกรมที่ท่านใช้โหลดบิท ในแท็บ exception แทนได้
http://img.thailandtorrent.com/show.php?id=a55ef0b74032b3f21bc0f62bed594018
4) กด OK
- หากในเครื่องของคุณติดตั้งโปรแกรมที่มี Firewall อยู่ด้วย เช่น โปรแกรมป้องกันความปลอดภัยที่ลงท้ายว่า… Internet Security หรือ Total Security ต่าง ๆ (เช่น Norton Internet Security, Kaspersky Internet Security, ฯลฯ) หรือ โปรแกรมที่เป็น Firewall เช่น Zone Alarm ฯลฯ ให้หาคำสั่ง firewall ของโปรแกรมนั้น ๆ และกำหนดกฏให้อนุญาตโปรแกรม หรือ port ที่ใช้งาน (ดูในวิธีใช้ของโปรแกรมนั้น ๆ)
ขั้นที่ 3. กำหนด Port ที่ใช้งานให้เป็นแบบตายตัว
- ตัวอย่างการกำหนด port ให้กับโปรแกรม uTorrent
http://img.thailandtorrent.com/show.php?id=ec91a949095532ee914a7f1e69fb7f0d
- คุณสามารถเลือกเลข port เป็นเลขอะไรตามที่คุณต้องการก็ได้ แต่ควรเป็นหลักหมื่นขึ้นไป เพื่อไม่ให้ชนกับ port ที่บางโปรแกรมใช้ และไม่เกิน 65535
ขั้นที่ 4. Forward Port ที่ Router
***ลองดูวิธีการ Forward Port ที่นี่ ก่อน ว่ามีรุ่น Router ของคุณหรือไม่? ถ้าไม่มีให้ลองทำตามตัวอย่างข้างล่างดูครับ…
1) ดู IP ภายใน ของเครื่องที่ต้องการใช้งาน (วิธีการดู IP ภายใน คลิกที่นี่)
2) เข้าไปหน้าตั้งค่า router โดยอาจจะลองค้นหาวิธีการตั้งค่าในเว็บ port-forward.com โดยเลือกยี่ห้อ และรุ่นของเราท์เตอร์ของคุณ (ถ้าไม่มีก็ลองเลือกรุ่นที่ใกล้เคียงที่สุดหน้าตาและขั้นตอนจะคล้าย ๆ กัน) แล้วเลือกโปรแกรมที่ใช้
***ในส่วนของขั้นตอน โดยทั่ว ๆ ไปจะคล้าย ๆ กัน (ผมใช้ของ router D-Link DSL-500T เป็นตัวอย่าง ใครใช้รุ่นอื่นให้ลองดูวิธีตั้งค่าที่ลิงค์ข้างบน หรือ Google หรือลองเอาตัวอย่างไปปรับใช้ดูครับ) โดยมีขั้นตอนประมาณนี้…
3) เปิด browser เช่น Internet Explorer, Firefox ขึ้นมา (แนะนำให้ใช้ IE)
4) ใส่ ip ของ router นั้น ๆ ในแถบ address bar กด enter (หากไม่ทราบ อาจจะดูจาก Gateway ของเครื่องคุณก็ได้ว่าไปออกที่ IP อะไร ส่วนใหญ่จะใช้ 192.168.1.1)
5) จะปรากฏหน้าต่างถาม password
- ถ้าเป็น router แถมมากับเน็ท มักจะบอกมาในคู่มือ หรือ ตอนติดตั้ง หากจำไม่ได้ให้โทรสอบถามที่ศูนย์ (TOT, TT&T, True ฯลฯ) ได้เลย
- ถ้าเป็น router ที่ซื้อมาเอง ให้ลองอ่านคู่มือในกล่อง แต่โดยทั่วไปมักจะตั้ง username เป็น admin และ password admin
6) จะปรากฏหน้าต่างตั้งค่าของ router นั้น ๆ
7) ค้นหาเมนู NAT หรือ Virtual Server (แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นจะมีเมนูไม่เหมือนกันต้องลองหาดู หรือดูในคู่มือ หรือดูในเว็บ port-forward เอาครับ)
8 ) เพิ่มกฏให้ forward port ที่เราใช้ ไปยัง ip เครื่องของเรา port แต่ละ port สามารถ forward ไปได้เครื่องเดียวเท่านั้น
http://img.thailandtorrent.com/show.php?id=a825d9ebfd5bd19054fbfe76fff2e198
9) หาและเลือกคำสั่ง save&reboot router (ถ้าไม่ทำ เวลาคุณปิดเราท์เตอร์พอเปิด คุณจะต้องตั้งค่า forward port ใหม่)
10) หากก่อนหน้านี้คุณโหลดงานไว้ ให้กดหยุด และกดปุ่ม reset peer ที่ ข้อมูลส่วนตัว แล้วจึงเริ่มงานอีกครั้ง
***โดยทั่วไปถ้าทำขั้นตอนนี้เสร็จแล้ว จะสามารถทำให้ connectable=yes ได้แล้ว แต่หากไม่ได้ ให้ลองวิธีการต่อไปนี้เพิ่มเติม
ขั้นที่ 5. ค้นหา Port ที่สามารถใช้งานได้
บาง ครั้ง จากสภาพแวดล้อม หรือข้อจำกัดต่าง ๆ อาจทำให้ผู้ใช้งานบางคน ต้องใช้บาง port ที่เหมาะสมเท่านั้น จึงจะทำให้ connectable=yes ได้ วิธีการง่าย ๆ ที่จะตรวจสอบว่า ต้องใช้ port ใด คือใช้โปรแกรม scan port (คลิกตรงนี้เพื่อดาว์นโหลดโปรแกรม)
หมายเหตุ: วิธีการใช้งานโปรแกรมคือจะทำการตรวจสอบ port ในช่วงที่กำหนดว่ามี port ใดที่เปิดไว้อยู่แล้วหรือไม่ ถ้าหากพบ ก็ให้นำ port นั้นมาใช้งานได้เลย
ขั้นที่ 6. เปลี่ยน router
หาก ยังไม่สามารถทำให้เป็น yes ได้ ลองยืม router เพื่อนมาเปลี่ยนดู อาจเกิดจาก router เดิมเสีย หรือ ไม่ support การ forward port ก็ได้ (โดยเฉพาะ router ที่แถมมามักจะเป็นยี่ห้อที่ไม่เป็นที่นิยม และเมนูค่อนข้างใช้ยาก)
**หาก คุณทำตามที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว ยังใช้งานไม่ได้ แสดงว่า คุณไม่สามารถทำให้ connect=yes เองได้ หากต้องการทำให้ connect=yes จริง ๆ ให้ลองทำตามวิธีด้านล่าง
***Google ช่วยคุณในการหาวิธี forward port ได้ โดยใส่ยี่ห้อ รุ่น ของเราท์เตอร์ และคำว่า forward port ลงไป
***************
ขอบคุณ เครดิตเว็บเพื่อนบ้านทุกคน  แหล่งความรู้ที่ได้มา…
******************
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=7bcc8379f96a3e8a

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น