วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ประโยชน์การแผ่เมตตาที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้มี 11 ประการได้แก่

ประโยชน์การแผ่เมตตาที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้มี 11 ประการได้แก่



1. หลับก็เป็นสุข



2. ตื่นก็เป็นสุข



3. ไม่ฝันร้าย



4. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย



5. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย



6. เทวดาทั้งหลายย่อมคุ้มครอง



7. แคล้วคลาดจากภยันอันตราย



8. จิตเป็นสมาธิได้ง่าย



9. สีหน้าย่อมผ่องใส



10. สิ้นใจอย่างสงบ (สู่สุคติภูมิ)



11. ถ้ายังไม่บรรลุคุณธรรมพิเศษที่สูงกว่า ย่อมเข้าถึงชั้นพรหม






การแผ่เมตตามี 2 อย่าง คือ



1. เจริญเมตตาจิต ด้วยเพียงการฝึก มองโลกในแง่ดี มีความปรารถนาดีต่อทุกสรรพสัตว์ สรรพชีวิตบรรดามีในโลก รักตัวเองเช่นไร ก็รักชีวิตอื่นให้มากเท่ากว่ารักชีวิตตนเองเช่นกัน ทำให้จิตรู้สึกเกิดความสุข เพราะมีแต่ความปรารถนาดี ทำให้ไม่สะดุ้งกลัวและไม่เป็นกังวล จิตเป็นสมาธิเร็ว



2. เจริญเมตตาฌาน ต้องอาศัยกำลังจิต โดยกำหนดจิตจนรวมเป็นเอกได้แล้ว จึงแผ่กระแสจิตนั้นให้เกิดความรัก ความปรารถนาดีต่อตนเองก่อน จากนั้นก็แผ่ให้กันคนที่เรารัก เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย สามี ภรรยา ลูก แล้วแผ่กระแสจิตที่มีความรัก ความปรารถนาดีนั้นไปตลอดโลก ให้เป็นอัปปมัญญา คือ ไม่มีประมาณ




ใน หนังสือ ธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ โตพรหมรังสี ได้กล่าวถึงอานิสงส์แห่งการแผ่เมตตาไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสัมฤทธิ์ผลนั้น เกิดจากกรรม 3 อย่าง คือ มโนกรรม เป็นใหญ่ แล้วค่อยแสดงออกมาทางวจีกรรม หรือกายกรรมที่เป็นรูป การบำเพ็ญสมาธิจิตเป็นกุศลดีกว่า เพราะว่า การแผ่เมตตา 1 ครั้ง ได้กุศลมากกว่าสร้างโบสถ์ 1 หลัง ขณะจิตที่แผ่เมตตานั้น จะเกิดอารมณ์แจ่มใส สรรพสัตว์ไม่มีโทษภัย ตัวท่านก็ไม่มีโทษภัย ฉะนั้น เขาจึงว่านามธรรมมีความสำคัญกว่า



ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่งการคิดนึกของเราแต่ละบุคคลนั้น มีกระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิตและวิญญาณกระจายออกไปเมื่อจิตของเรามี เจตนาบริสุทธิ์ เมื่อจิตของเราเป็นมิตรกับทุกคน เมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเรา หรืออีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกับเขาๆก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ทุกๆวัน สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้



เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุกๆดวง ดวงวิญญาณทุกๆดวงย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต วิญญาณจะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นพลังงานออกไป ฉะนั้น ผู้ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จิตแน่วแน่แล้ว โรคที่เป็นอยู่มันจะหายไป ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่จะพังเต็มทีแล้ว คือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย หรือว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้หรือจะให้มันสบายหายเป็นปกติดั่งเดิมได้




เจริญในธรรม


จาก http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=16108&sid=d885e03346c822b13fb90294128c5e58

วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ชะตาชีวิตปีพุทธศักราช 2556 หมอ ภิญโญ พงศ์เจริญ ราศีมังกร

ชาวราศีมังกร
    ท่านที่เกิดระหว่างวันที่ 15 มกราคม-12 กุมภาพันธ์
    ราศีมังกร (CAPRICORN) เป็นราศีที่ 10 แห่งจักรราศี เป็นราศีธาตุดินชนิดจรราศี เป็นราศีแห่งการกระทำ มีความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ เอาจริงเอาจัง รอบคอบ เจ้าระเบียบ ใฝ่รู้ เป็นนักสร้างสรรค์ นักลงทุน นักบุกเบิก และนักปฏิรูป เป็นคนเคร่งเครียดต่อหน้าที่การงานจนทำให้ดูหน้าแก่กว่าวัย มีจิตใจหนักแน่น มีพรรคพวกและเพื่อนฝูงมาก ไม่ชอบเป็นคนเด่นดัง ขี้อายและเจียมตัว จะเป็นหัวหน้าคนได้ก็ต้องมีอายุงานมากจึงทำให้มีตำแหน่งใหญ่โต เป็นคนรักบ้านและครอบครัวดีมาก
    ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 29 พฤษภาคม 2556 เวลา 23.15 น. ดาวพฤหัสบดี (5) เจ้าเรือนสหัชชะ โคจรอยู่ในราศีพฤษภในภพปุตตะ ทำให้พี่น้องเพื่อนฝูงคนใกล้ชิดยอมรับและเชื่อถือเรา คอยดูแลเอาใจใส่เรา ชีวิตสดใสร่าเริงดูมีชีวิตชีวาขึ้น สมองปลอดโปร่งแจ่มใส มีสติปัญญาเฉียบแหลมมั่นคง ดูหน้าตาอ่อนกว่าวัย บริวารจะโชคดีประสบความสำเร็จ ได้ผลประโยชน์มีชื่อเสียงเกียรติยศ มีความคิดริเริ่ม จะได้ริเริ่มโครงการใหม่ๆ มีโครงการอะไรก็ให้ทำไปตามแผนการก็จะประสบกับความสำเร็จ จะได้ใช้วิชาการและเครื่องมือเครื่องใช้ในการอำนวยความสะดวกใหม่ๆ ที่ทันสมัยทางวิชาการ บางคนจะเจอรักแรกพบ จะได้พบคนรักที่สมหวัง เป็นที่เชิดหน้าชูตา มีความรู้ความสามารถ เป็นความรักที่บริสุทธิ์ เกิดขึ้นโดยไม่รู้
    ดาวพฤหัสบดี (5) ในภพ 5 ส่งผลดีในการวิ่งเต้นแสวงหาผลกำไร การลงทุน การเข้าหุ้นส่วน การดำเนินการใดๆ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์มีโอกาสประสบความสำเร็จได้รับความสนุกสนานเบิกบาน สำราญใจ จะได้พบรัก มีความเสน่หา ได้แต่งงาน มีบุตร และมีโชคลาภจากการเสี่ยง
    ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2556 เวลา 23.15 น. ถึงวันสิ้นปี ดาวพฤหัสบดี (5) เจ้าเรือนสหัชชะ โคจรอยู่ในราศีมิถุนเรือนอริ อริ คือ ศัตรู ปัญหา อุปสรรค ความขัดข้อง หนี้สิน โรคภัยไข้เจ็บ มีการปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัย บ้านและที่ดิน ควรดูแลรักษาพ่อแม่ญาติพี่น้องให้ดี มีเรื่องต้องแก้ไขปัญหาในครอบครัว มีการเจรจาตกลงเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจ การเจรจามีปัญหาอุปสรรคถูกเลื่อนออกไป แต่จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในภายหลัง
    ดาวพฤหัสบดี (5) ในภพ 6 สนใจดูแลเอาใจใส่เรื่องสุขภาพอนามัย ทำให้สุขภาพอนามัยแข็งแรง การงาน การประกอบการอุตสาหกรรมจะได้รับผลประโยชน์จากกำไรจากความสำเร็จของผู้น้อย เอเยนต์ตัวแทน คนใช้ ฯลฯ มีการประกอบพิธีกรรมที่สำคัญ มีระเบียบแบบแผน มีพิธีการ มีกิจกรรมต่างๆ ทางด้านศาสนา ได้ติดต่อกับญาติ เช่น ลุงป้าน้าอา สุขภาพอนามัยดีขึ้น
    ตลอดปี เสาร์ (7) ดาวประจำราศีเกิดโคจรในราศีตุลได้มาตรฐานมหาอุจในเรือนการงาน เป็นห้วงเวลาที่สนใจและทุ่มเทเอาใจใส่เรื่องการงานที่รับผิดชอบมากเป็นพิเศษ ประสบความสำเร็จด้านการงาน จะได้ตำแหน่งหน้าที่การงานที่สำคัญ ได้เลื่อนยศเลื่อนขั้นชั้นตำแหน่ง เงินทองจะถูกนำไปลงทุนหรือใช้แก้ปัญหาต่างๆ ที่คั่งค้างเรื่องการงาน มีงานมากขึ้น งานยากๆ หนักๆ ลำบากๆ ประดังเข้ามาให้ทำหลายชิ้น ทำให้เหน็ดเหนื่อยมิใช่น้อย งานแต่ละชิ้นล้วนเป็นงานสำคัญที่ต้องแก้ปัญหาและอุปสรรคทั้งสิ้น มีทั้งงานเก่าๆ และงานใหม่ๆ จะได้เพื่อนหรือหุ้นส่วนที่ถูกใจไว้คอยให้คำปรึกษาหารือ การทำนิติกรรมสัญญาสำคัญเกี่ยวกับการงานจะสำเร็จในไม่ช้า มีรายได้จากผลงานเข้ามาเป็นระยะๆ จึงควรเก็บออมเป็นเงินสดไว้ปรับปรุงการงานเดิมให้ดีขึ้นจะดีกว่านำเงินไปลง ทุนในงานหรือธุรกิจใหม่ที่ไม่แน่นอน
    ส่วนคนที่ยังไม่มีงานทำจะได้ทำงานที่เหมาะสมกับวุฒิภาวะและความถนัด เป็นงานที่ต้องใช้ความคิดจินตนาการการคาดการณ์ และมีความรับผิดชอบสูง ควรหาเวลาว่างไปศึกษาหาความรู้และประสบการณ์เพิ่มเติมบ้าง เงินทองที่มีอยู่ไม่ควรให้ใครหยิบยืมในช่วงนี้ เพราะมีโอกาสที่จะไม่ได้รับการชำระหนี้สูง เนื่องจากการเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต กล้าคิดกล้าทำ ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่จึงถูกใช้ไปเพื่อปรับปรุงกิจการงานและการศึกษาหา ความรู้เพิ่มเติมในระดับที่สูงขึ้น การเงินยังคงแปรปรวน หามาได้มากก็ใช้ไปมาก จึงควรมีความระมัดระวังการใช้จ่ายให้ดี
    ราหู (8) เจ้าเรือนการเงินโคจรในราศีตุลได้มาตรฐานเป็นมหาอุจอยู่เรือนการงาน ทุ่มเทเงินทองในการลงทุนและพัฒนาหน้าที่การงานให้ดีขึ้น ใช้เงินไปกับการทำงาน มีโอกาสได้ใกล้ชิดผู้บังคับบัญชา การงานมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงดีขึ้น จะได้รับการพัฒนา ได้เลื่อนยศเลื่อนขั้นชั้นตำแหน่งใหญ่โต จะได้ตำแหน่งหน้าที่การงานที่สำคัญ ได้ทำงานแปลกๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน มีความรับผิดชอบมากขึ้น มีงานทำมากขึ้น มีบริวารลูกน้องเพิ่มมากขึ้น เกิดความสับสนวุ่นวาย ได้ทำงานกับคนต่างถิ่นต่างแดนต่างชาติต่างภาษา ให้ระวังจะเกิดปัญหาขัดแย้งเกี่ยวกับการทำงาน งานเก่าสะสางไม่เสร็จ งานใหม่ประดังเข้ามาทำให้ปวดหัวเล่น ได้อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัยแต่มีตำหนิ

เก็บมาอ่านราศึตัวเอง  ราศีอื่นตามไปอ่านที่
http://www.thaipost.net/x-cite/010113/67398

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วันที่ถอดตัวกู เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

582412119023501.jpg

เสก สรรค์ ประเสริฐกุล ให้สัมภาษณ์ถึงตัวกูของกูในวันที่ถอดหมวก ทางรายการพื้นที่ชีวิต สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย วันที่ 11 พฤศจิกายน 2553 ตอนวันที่ถอดตัวกู ดำเนินรายการโดยภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : สิ่ง ที่ผู้คนจดจำอาจารย์ได้มากที่ สุด คือภาพการเป็นผู้นำนักศึกษาในยุค 14 ตุลาคม 2516 สิ่งนั้นส่งผลต่อตัวอาจารย์ของอาจารย์ หรือส่งผลต่อตัวกูของกูอย่างไรบ้างครับ

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่มากและมีผลต่อประวัติศาสตร์ของ ประเทศไทย ซึ่งผลกระทบที่มีต่อตัวผม คนหนุ่มคนหนึ่งมันก็มากตามไปด้วย อาจจะเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า defining moment มันสร้างคำนิยามเกี่ยวกับตัวผม เริ่มจากคนอื่นมองผมอย่างไร  จากนั้นผมก็ดูดซับมาเป็นการมองตัวเองว่าผมมีบทบาทเช่นนี้ ควรจะทำสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นการหาผลประโยชน์หรือลาภยศ สรรเสริญ แต่มันลึกไปมากกว่านั้นอีก คือคิดว่าตัวเองมีหน้าที่ในการจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย สร้างประเทศไทยให้เป็นไปตามอุดมคติ แล้วพาผมไปลำบากลำบนในอีกหลายปีต่อมา

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : หลังจากวันนั้นอาจารย์เดินทางเข้าป่าต่อสู้ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศไทย แล้ววันนึงอาจารย์ก็เดินทางออกจากป่า และเขียนไว้ในหนังสือหลายเล่มว่าเป็นเพราะความพ่ายแพ้ ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นมันส่งผลกระทบต่ออัตตาตัวกูของกูของอาจารย์อย่างไรบ้าง ครับ

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : ส่ง ผลมาก เพราะในช่วงแรกเรารู้สึกว่าตัวตนที่เราคิดว่าเป็นของเรา มันหายไป หรือว่าแตกสลาย ยกตัวอย่างเช่น ความเป็นนักรบ ที่ไม่รู้จะไปรบกับใคร ความรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำสิ่งต่างๆ เพื่อประชาชน ก็ไม่มีบทบาทอะไรให้ทำ เพราะตัวเราเองถูกตราไว้แล้วว่าเป็นอดีตผู้ก่อการร้าย ขณะเดียวกัน เราก็ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมที่เราเคยรังเกียจได้ มันก็เลยทำให้ผมต้องออกไปแสวงหาตัวตนใหม่ ไปเยียวยาตัวเองตามป่าเขา หรือท้องทะเลเป็นเวลาหลายปี

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : อาจารย์ใช้ชีวิตอย่างไร ในช่วงที่รู้สึกว่ากำลังแสวงหาตัวตนใหม่ ท่ามกลางความพ่ายแพ้ในสภาวะจิตใจของตัวเอง

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : อันดับแรกเพื่อรักษาสิ่งที่ตัวเองคิดว่าใช่ตัวเอง ก็คือไม่เข้าไปยุ่งกับสังคมมากนัก ไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เราเคยวิจารณ์ หรือกระทั่งเคยประณาม ซึ่งทำให้ผมมีที่เหลือไม่มาก นอกจากเวลาทำงานเขียนหนังสือ สอนหนังสือแล้ว ผมก็เลยใช้ชีวิตอยู่ตามป่าเขา ท้องทะเลค่อนข้างมาก ขณะที่ไปสัมผัสกับป่าเขา ท้องทะเล ก็ได้ความรู้สึกใหม่ๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะความรู้สึกว่ามันมีสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเรามากนัก และบางทีก็เกิดคำถามว่าสิ่งที่เรายึดถือว่าเป็นตัวเองมันอาจเป็นแค่ภาพลวงตา

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : ช่วงนั้นเหมือนตัวตนของอาจารย์ยังไม่ได้สลาย หรือว่าหายไป แต่เหมือนว่ามีเกราะป้องกันตัวมากขึ้น อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกราะเหล่านั้นเริ่มละลายหายไปครับ

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล :  ช่วงนั้นตัวตนไม่ได้สลายไปหรอก แต่ว่ามันคลายความตึงเครียดที่จะยืนยันตัวตนเก่าๆ แล้วเกิดคำถามใหม่ๆ ซึ่งก็ยังมุ่งไปในทิศที่เป็นอัตตาอยู่ คือยังคิดอยู่ว่าชีวิตจะสูงส่งจะดีงามด้วยวิธีใด หนทางไหน จึงจะถูกต้องที่สุดสำหรับตัวเราเอง พอช่วงอายุประมาณ 50 ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เริ่มมองเห็นว่าสิ่งต่างๆ ที่เรายึดถือกันมามันเป็นมายาทั้งนั้น อันที่จริงมนุษย์เรา มันไม่มีตัวตนที่เรายึดถือกัน มันเป็นการปรุงแต่งมาจากหลายปัจจัย เมื่อเราไปยึดถือตรงนั้นแล้ว ก็จะเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ระหว่างเรากับตัวเราเอง ระหว่างเรากับผู้อื่น สุดท้ายมันกลายเป็นความทุกข์ และไอ้ความทุกข์เหล่านี้ ทำให้ผมเริ่มสำนึกตื่นขึ้นมาว่า บางทีอาจจะถึงเวลาต้องวางเรื่องของตัวตนลงไป

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : เป็นด้วยวัย อายุ จังหวะเวลา หรือมีองค์ประกอบอื่นที่เป็นจุดพลิกผัน

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : คงมีองค์ประกอบหลายอย่าง อันดับแรก เราอาจเห็นโลกมาหลายๆ มิติ ซึ่งก็มีวัยเข้ามาเกี่ยวข้อง อันดับต่อมา ก็คือมีเหตุการณ์หลายๆ อย่างในชีวิตที่นำความทุกข์มาให้เราแล้วสั่งสมตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เราคิดว่าถ้ายังฝืนไปตามหนทางเดิมที่จะบอกตัวเองว่าเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ก็จะทำให้เราเผชิญปัญหาในลักษณะที่มุ่งมั่นจะเอาชนะ เอาชนะอุปสรรค เอาชนะความขัดแย้ง เอาชนะตัวเองในเรื่องต่างๆ แต่ถ้าเราวางตัวเองซะแล้ว ประเด็นเหล่านี้จะหายไปหมด เรารู้สึกเบา รู้สึกโล่งขึ้นมา ในช่วงนึงของความทุกข์ ความที่มันทนไม่ไหว ผมเลยพลัดหลงเข้าไปสู่อนัตตาโดยบังเอิญ ก็คือปล่อยวางทุกอย่าง วันนี้ไม่คิดอะไรแล้ว ช่วงแรกอยู่นิ่งๆ ไม่คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร ก็เลยกลายเป็นภาวะภาวนาโดยไม่รู้ตัว มาค้นคว้าภายหลังจึงรู้ว่า นั่นคือที่เรียกว่าภาวนา

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : อะไรคือความทุกข์ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : ความทุกข์ทั้งหมดมาจากความขัดแย้ง ความขัดแย้งกับตัวเอง ความขัดแย้งกับผู้อื่น  ท้ายที่สุดมันนำมาสู่ความขัดแย้งกับตัวเอง ขัดแย้งกับคนใกล้ตัว ในที่สุดก็เกิดการพลัดพราก สิ่งเหล่านี้ มันทำให้ผมต้องหาวิธีตอบคำถามของตัวเองใหม่หมด จนมาพบว่าการจะตอบคำถาม บางครั้งมันจะต้องเปลี่ยนคำถามด้วย คำถามบางอย่างมันตอบไม่ได้เพราะตั้งคำถามไปผิดทาง  เมื่อเราวางคำถามเก่าๆ ทำให้เราค้นพบอะไรใหม่ๆ มากขึ้น

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : อาจารย์ตั้งคำถามใหม่ กับชีวิต กับการพลัดพรากของชีวิตไว้ว่ายังไงบ้างครับ

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : ยกตัวอย่างคำถามเก่าๆ เช่นว่าชีวิตมันมีคุณค่าตรงไหน ชีวิตจะดีงามจะสูงส่งกว่าธรรมดาได้อย่างไร พอวางคำถามเหล่านี้ไป เราก็พบว่าชีวิตไม่ใช่เรื่องแบบนั้น ชีวิตไม่ใช่เรื่องการปรุงว่าอะไรสูงอะไรต่ำ อะไรมีคุณค่า อะไรไร้คุณค่า ชีวิตก็คือชีวิต มันเคลื่อนคล้อยไปตามกฎเกณฑ์ของอนิจจัง เราต้องยอมรับความเป็นจริงตรงนี้ ในภาษาอังกฤษเขาจะใช้ศัพท์ธรรมะว่า surrender ผมคิดว่าพอแปลเป็นไทย อาจจะหมายถึง การมอบตัวให้กับอะไรสักอย่างที่ใหญ่กว่าเรา หรือว่าการยอมต่อกฎเกณฑ์ของความจริงโดยไม่มีข้อกังขา เพราะฉะนั้นมันทำให้เราเผชิญทุกอย่างได้อย่างสงบ ไม่ต้องไปฝืน ไม่ต้องไปต้าน แค่เผชิญทุกอย่างได้อย่างสงบก็เป็นการดับทุกข์ด้วยตัวของมันเองแล้ว

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : อาจารย์เขียนหนังสือเรื่องวันที่ถอดหมวก แล้วอธิบายความหลายอย่าง และมีคนสงสัยว่าอาจารย์ถอดหมวกจริงๆ หรือมีหมวกบางใบที่แอบเก็บเอาไว้สวมใส่

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : ในแง่ติดหลงอยู่กับคำนิยามต่างๆ ของตัวเอง อันนี้ไม่มีเลย ส่วนใหญ่ของชีวิต ผมไม่ค่อยได้คิดว่าผมเป็นใคร ส่วนสังคมจะสมมติให้ผมเป็นอะไร ก็เป็นเรื่องของสังคม แต่ว่าในฐานะของปุถุชนที่ยังไม่ได้บรรลุธรรม ในส่วนที่มันเป็นกิเลส ส่วนที่เป็นตัวตนในลักษณะของโลภ โกรธ หลง ก็ยังเหลืออยู่ โลภอาจจะไม่มากเท่าไหร่ แต่โกรธนี่ยังเหลือพอสมควร หลงนี่อาจจะเหลือน้อยหน่อย สิ่งเหล่านี้จะต้องขัดเกลาต่อไป เพราะเราเริ่มมีสติ เริ่มรู้ทันตัวเองมากขึ้น มันเป็นเส้นทางที่เราตัดสินใจว่าจะเดินไปในทิศทางนี้

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : ทุกวันนี้ อะไรที่กระตุ้น ปลุกเร้าความโกรธของอาจารย์

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : มนุษย์ ผมยังมีโทสะกับคนที่ไม่เคารพกติกา คนที่ข่มเหงรังแกคนอื่น คนที่เอารัดเอาเปรียบคนอื่นในชีวิตประจำวัน ไอ้ตรงนี้มันกระตุ้นผม แต่ว่าโชคดีที่เดี๋ยวนี้โกรธแล้วรู้ตัว คือมันจะโกรธอยู่ได้ไม่กี่วินาที แล้วก็หายไป แต่รู้ว่าเรายังไปไม่ถึงไหน

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : ถ้าเป็นสมัยก่อน เวลาอาจารย์โกรธในความอยุติธรรมทั้งหลาย คนก็อาจจะเห็นภาพอาจารย์ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย หรือเรียกร้องสังคมที่มันดีงาม มีความเสมอภาคมากขึ้น  แต่วันนี้คนถามว่า อาจารย์เสกสรรค์หายไปไหนในตลอด 20-30 ปีที่ผ่านมา

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล :  ผม ไม่ได้หายไปไหน ผมอยู่ตรงนี้ แต่ว่าอยู่ด้วยสายตาที่ต่างจากเดิม ซึ่งในทางธรรมเขาเรียกว่า ผมพยายามที่จะข้ามพ้นทวิภาวะ ข้ามพ้นการจัดโลกให้เป็นขาวล้วนดำล้วน จัดเป็นคู่ขัดแย้งต่างๆ  มันทำให้ผมไม่ไปเลือกข้างในการขัดแย้งทางการเมือง แต่พยายามที่จะมองว่าเขามีประเด็นที่ดีๆ ตรงไหนที่เราเห็นด้วยได้ หรือว่าตรงไหนที่เขาทำไม่ถูกเราก็วิจารณ์ ลักษณะอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าผมไม่มีจุดยืน แต่มันหมายความว่าผมมีจุดยืนอีกแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้นมันอาจจะไม่ถูกใจคนที่เขาเลือกข้างเต็มร้อยในแต่ละสีแต่ละฝ่าย อันที่จริงผมมีความรักความห่วงใยทุกคนทุกฝ่าย แล้วก็พยายามที่จะอดทนกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เรารู้สึกบ่อยครั้งก็ไม่ เป็นธรรมกับเราเท่าไหร่นัก

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : เสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องไหนที่อาจารย์รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมกับอาจารย์ในภาวะแบบนี้ครับ

เสก สรรค์ ประเสริฐกุล : หนึ่งคือในลักษณะว่าไม่เอาใจใส่เรื่องบ้านเมือง ซึ่งไม่จริง เราเอาใจใส่มาตลอด สองคือระยะหลัง ผมถูกหาว่าไปเข้าข้างรัฐบาล ขณะคนที่อยู่ฝ่ายรัฐบาลหลายคนก็หาว่าไปเข้าข้างฝ่ายค้าน สิ่งเหล่านี้ผมไม่ถึงขั้นโกรธ แต่ว่ารู้สึกรำคาญใจ และไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ว่าจุดยืนของเรามันมีจริง แต่ไม่ได้ยืนเหมือนที่เขาจัดขั้วกันอยู่

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : ถ้าอย่างนั้นในภาวะบ้านเมืองแบบนี้ อาจารย์คิดว่าธรรมะข้อไหนจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทย

เสก สรรค์ ประเสริฐกุล :  คิดว่าเป็นธรรมะข้อเดียวกับที่ผมปฏิบัติอยู่ ในเวลานี้ผมไปเป็นคณะกรรมการปฏิรูปฯ ก็พยายามใช้ธรรมะ เริ่มจากขันติ คือรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่แตกต่างจากความคิดของเรา จากนั้นผมก็ใช้หลักของเมตตา กรุณา ที่เชื่อมั่นว่าเรามีกุศลเจตนาในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ สุดท้ายเมื่อวางอุเบกขา ก็คืออะไรที่เราทำได้ก็ทำ อะไรที่เราทำไม่ได้ก็รู้จักสงบจิตสงบใจลง ผมก็เลยทำงานหนักเพิ่มขึ้นมาได้อีกหน่อยนึง หลังจากที่มีงานอื่นๆ อยู่แล้ว ผมคิดว่าหลักธรรมกับการใช้ชีวิต รวมทั้งการเมืองไม่ควรแยกจากกัน

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของชีวิต อาจารย์อยากใช้ชีวิตไปในมิติไหนมากที่สุด

เสก สรรค์ ประเสริฐกุล :  ถ้าเลือกได้ ผมอยากจะปลีกวิเวก ถือสันโดษ ซึ่งที่จริงผมทำมาหลายปี แต่เวลานี้บ้านเมืองมีทุกข์ร้อน ผมก็ต้องกลับมาสู่หลักของการกลับมาช่วยผู้อื่นดับทุกข์ด้วย ตัวเราเองก็จะต้องฝึกแสวงหาความสงบท่ามกลางความสับสน อย่างที่เรียนตั้งแต่ต้นว่าในระหว่างที่ไปทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมือง เราก็ทำเพื่อตัวเองด้วยการปฏิบัติธรรม ใช้หลักธรรมมาทำให้ตัวเองสามารถผ่านความร้อนรุ่มของปัญหาต่างๆ ในแต่ละวันได้ ถือเป็นการเรียนรู้อีกแบบนึงที่มีค่าต่อชีวิตผมเช่นเดียวกัน

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : อาจารย์ อ่านหนังสือต่างประเทศมา มาก ในต่างประเทศบางทีเมื่อนักเขียนเสียชีวิต เขาจะมีคำจารึกที่หน้าหลุมศพ วันนึงเมื่ออาจารย์ได้จากไป ถ้ามีคนอยากจะเขียนอะไรสักอย่างหนึ่ง หรือโดยความปรารถนาของอาจารย์ อาจารย์อยากให้คำนั้นที่เขียนถึงคืออะไรครับ

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : ขอให้เป็นกิเลสของผู้อื่นก็แล้วกันนะ คุณอย่ามาถามผมถึงเรื่องพวกนี้เลย

เรื่องจาก : http://www.onopen.com/

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ญี่ปุ่นเขามองไทยอย่างไร?

ถ้าเอ่ยถึงประเทศไทย แล้วจะนึกถึงอะไรกันนน

1. วันปีใหม่ไทยน่ะ เรียกว่าอะไรนะ? ไม่ว่าจะสาดน้ำใส่ใครก็ได้ใช่หรือเปล่า (ไม่ค่ะ ทำหน้าดุไว้ก็ไม่โดนสาด)
 
2. เมืองไทยก็มีเกย์เยอะไม่ใช่เหรอ มีโชว์กะเทยด้วย (ก็เพื่อนัีกท่องเที่ยวอย่างพวกคุณน่ะแหละ)
 
3. อยากพูดภาษาไทยได้จัง ตอนนี้คนญี่ปุ่นฮิตเรียนภาษาไทยมากเลย (โอ้ว ดีจายยย)
 
4. ขนมไทยอร่อยและสวยด้วย ลองกินสิ (โอ้ ฝอยทอง... แต่เอามาให้คนไทยกินทำม้ายยย...)
 
5. อาหารไทยเผ็ดไปหน่อย แต่ถึงทำแบบไม่เผ็ดก็อร่อยมากเลยนะ (ไม่เผ็ดไม่ใช่ไทยแท้ค่ะ~*หัวเราะโฮะๆ*)
 
6. ไปเที่ยวไทยแล้ว ซื้อเสื้อเหลืองมา นี่ตราอะไร? สัญลักษณ์ของในหลวงเ้หรอ? ว้าว

112771140
 
7. ทุกคนใส่เสื้อตัวนี้เพื่อเฉลิมฉลองให้ในหลวง? ดีจังน้า เยี่ยมไปเลย

8.  ลองเขียนภาษาไืทยให้ดูหน่อยสิ เริ่มเขียนจากหัวกลมๆ นี่ก่อนเหรอ?

9.  ได้ข่าวว่าประเทศไทยร้อนมาก (แน่นอน)

10.  ภาษาไทยมีการเว้นวรรคระหว่างคำหรือเปล่า? (ไม่มีค่ะ)

11.  ไปเที่ยวไทยแล้วอยากอ่านภาษาไทยออกจัง (มา สอนให้ๆ ด้วยความเต็มใจ)

12. ข้ามถนนที่กทม.อันตรายมาก (ที่เชียงใหม่อันตรายกว่านะ)

13.  ชอบเนะโกะจัมป์ ไอดอลไทยน่ารัก (<<<----ชัดเจน!!)
112771149
14.  มีวันพีซเวอร์ชั่นภาษาไืทยด้วยเหรอ!! (มีจิ)

15. มีลักกี้สตาร์เวอร์ชั่นภาษาไทยด้วยเหรอ!! (มี เคยอ่านด้วย)

16. ทำไมอาหารไทยมันเพ้ดดดดดดดดเผ็ดอย่างนี้ล่ะ (รุ่นพี่โวยหลังจากโดนให้กินข้าวซอยใส่พริกเต็มพิกัด)

17. อยากกินบะหมี่สำเร็จรูปไทย เอาแบบไทยแท้ๆ นะ ไม่เอาที่ผลิตในญี่ปุ่น นั่นมันรสชาติปลอมๆ (แหม ทำเก่ง)

18. แต่ของไทยแท้เผ็ดว่.ะ...(หึ...)

19. ราเม็งของไทยน่ะ มีเครื่องปรุงตรึมเลย (เค้าเรียกก๋วยเตี๋ยวค่ะ ก๋วยเตี๋ยว) 

20. ไก่เหลืองๆ นี่อะไรเหรอ (ไก่สะเต๊ะ)

21. น้ำที่เหมือนกะหรี่กับน้ำใสๆ ใส่แตงกวานี่กินเปล่าๆ เลยรึเปล่า? (กินกะไก่สะเต๊ะดิ...)

22. เผ็ดป่ะ (ไม่เผ็ดเลย)

23. แน่ใจนะ (แน่ใจ ชัวร์)

24. เผ็ด!!! (.........ยังจะเผ็ด)

25.ปีก่อนไปประเทศไทยมา ไปแค่กทม. แต่อยากไปที่อื่นอีก อยากไปอยุธยา

26. อยากไปอยุธยาเพราะชอบวัดล่ะ (เชียงใหม่ก็วัดเยอะนะคะ)

27. อยากไปเชียงใหม่ด้วย ชอบไปวัดน่ะ

28. ชอบไปวัดไทย เพราะให้ความรู้สึกว่าวัดเป็นศูนย์รวมใจของประชาชน เยี่ยม ที่สุดเลย คนญี่ปุ่นน่ะ ไม่ค่อยไปวัดกันหรอก (รุ่นพี่น่ารักจังค่ะ...ถ้าตรงสเป็กกว่านี้อีกนิดก็ว่าจะเสนอสาวไทยให้สัก หน่อย (เอ๊ะ))

29. คนไทยตั้งแต่เกิดก็กินเผ็ดกันเลยรึเปล่า? (แล้วแต่คน)

30.  คำนี้เขียนถูกรึเปล่า อ่านว่าอะไรเหรอ? (ก้มมอง นี่มันคำว่า "เบอร์โทรศัพท์" หนิ... จะเอาไปขอสาวที่ไหน๊)

31.  คนไทยทุกคนเรียนมหาวิทยาลัยเหรอ? (ก็ส่วนใหญ่น่ะนะ ถ้าอยากทำงานบริษัทก็เรียนกันซะมาก)
112771162
32.  สวัสดีค่ะ!! (รุ่นพี่คะ... เป็นผู้ชายต้องพูดครับสิ ไม่ใช่ค่ะ...)
 
33.  สวัสดีแปลว่าอะไรเหรอ (เหมือนการอวยพรให้โชคดี ให้เจริญด้วยค่ะ ไม่ใช่แค่ "ฮาย!")
 
34. โห แปลกดีจัง สุดยอด ไหนลองพูดบ้างซิ สวัสดีๆ (รู้สึกภูมิใจในคำทักทายของบ้านเกิดจริงๆ)
 
35. นี่ๆ ไปซื้อมือถือมาจากมาบุญครองล่ะ มีภาษาไทยด้วย (มีภาษาไทยจริงๆ ด้วย! เอามาทำไมคะ อ่านก็ไม่ออก!)
 
36.  คนไทยเก่งภาษาอังกฤษทุกคนเลยเหรอ (ก็ไม่หรอก...แต่สำหรับคนไทย เสียงภาษาอังกฤษมันออกง่ายน่ะ)
 
37. ตอนนี้ที่เมืองไทยไม่เป็นไรนะ? ที่ประท้วง... (ไม่ใช่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...เป็นมากด้วย)
 
38.  ปีที่แล้วก็มีแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? (ใช่ค่ะ...จะมีทำไมทุกปีเนอะ)
 
39. เค้าบอกว่าคนที่มาประท้วงอ่ะ ทำเป็นงานพิเศษ (.........*ดิฉันขอปี๊บมาคลุมหัวได้ไหมคะ*)
 
40. เพราะสมัยก่อน ลาวเอย เวียดนามเอย มาเลเซียเอย ต่างก็เคยมีสงคราม มีอะไรเพื่อปลดแอกตัวเองกันทั้งนั้น แต่ประเทศไทยไม่มี... ในสายตาคนรอบข้าง เป็นเมืองที่สงบสุขมาก พอเกิดเรื่องนี้ขึ้น ชาวต่างชาติก็ตกใจกันหมด
 
41. เมื่อไหร่สถานการณ์เลวร้ายจะจบลงเสียที อยากไปเที่ยวเมืองไทยจะแย่อยู่แล้ว
 
 

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ค่าตัวของเรา...เท่าไหร่

ค่าตัวของเรา...เท่าไหร่

ต่าย เป็นพนักงานบริษัท ทำงานฝ่ายบุคล และปีนี้เธอเป็นพนักงานดีเด่นของบริษัท วันหนึ่งเธอได้รับมอบหมายให้คำนวณเงินเดือนให้กับพนักงานทั่วไป เธอก็ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายซึ่งเธอทำเป็นประจำทุกเดือนเป็นปกติ และทำเป็น เวลา หลายปีแล้ว แต่มีคนหนึ่งที่เธอไม่เคยคิดที่จะทำเลย

นั่นคือ ตัวเธอเอง

แล้ววันนี้เองเธอก็ลองคิดเล่นๆ เพราะว่าเธอได้รับบางสิ่งบางอย่างที่เพื่อนส่งมาให้ 1 เดือน มี 4 สัปดาห์
1 สัปดาห์มี 7 วัน
1 วันมี 24 ชั่วโมง

กิจวัตรทุกวันที่เธอทำคือ ตึ่นนอน 6.00 น.
เข้าทำงาน 9.00 -17.00 น.
กลับถึงบ้าน 20.00 น. ทำงาน จ-ศ 5 วัน/สัปดาห์
สิ้นเดือนรับเงินเดือน 25,000 บาท (มั่นคงทุกๆเดือน)

วิธีคำนวณ
ทำงานวันละ 8 ช.ม./วัน ( เป็นอย่างน้อย)
ทำงาน 5 วัน/ Wks
เวลาที่ใช้ในการทำงาน 8x5x4 ( ไม่รวมเดินทาง)
เท่ากับ 160 ช.ม./เดือน
เงินเดือน 25,000 บาท/เดือน

25,000 บาท/เดือน เท่ากับ 156.25 บาท/ ช.ม. 160 ช.ม./เดือน
สรุป ชีวิตเธออยู่นอกบ้าน เพื่อทำงานให้คนอื่น
เสียเวลาไปอย่างน้อย 12 ช.ม./ วัน
เพื่อรับเงินเดือน 25,000 บาท ช.ม.ละ 159.25 บาท

คุณทราบไหมคะว่าหลังจากที่เธอคำนวณเสร็จ
เกิดอะไรขึ้นกับเธอ
เธออึ้ง และ น้ำตาไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว
แต่เธอเห็นสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า
ทุกวันนี้ เธอทำงานให้กับนายจ้างฟรีๆ
เพราะค่าตัวเธอถูกกว่า ร้องเท้าที่เธอใส่ด้วยซ้ำ
(199 บาท)

วันรุ่งขึ้นเธอเดินเข้าไปหาผู้จัดการ พร้อมซองขาว
เพราะเธอเข้าใจกับคำว่า
" คุณต้องทำธุรกิจของตัวเอง
ไม่มีใครร่ำรวยจากการทำงานให้คนอื่น"

แล้วคุณล่ะ เคยคิดจะคำนวณค่าตัวของตัวคุณเองบ้างมั้ย

ปาฏิหาริย์....ราคาเท่าไหร่

ปาฏิหาริย์....ราคาเท่าไหร่

เมื่อได้ยินคุณพ่อคุณแม่คุยกันเรื่อง แอนดรูว์น้องชาย
เทสส์ในวัย 8 ขวบ ก็รับรู้ว่าแอนดรูว์กำลังป่วยมาก
และทั้งพ่อแม่ก็ไม่มีเงินเหลือติดตัวเลย
แถมเดือนหน้ายังจะต้องโดนย้ายไปอยู่อพาร์ทเม้นท์
เพราะพ่อหมดปัญญาจ่ายค่าหมอและค่าเช่าบ้านนี้

หนทางเดียวที่จะช่วยชีวิตแอนดรูว์ได้ก็คือ
การผ่าตัดซึ่งต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงมาก
และดูเหมือนว่า
จะไม่มีใครจะมาหยิบยื่นอะไรให้แก่ครอบครัวนี้เลย
แต่เทสส์แอบได้ยินพ่อกระซิบกับแม่ที่มีน้ำตานองว่า
”ในตอนนี้...คงมีเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วย แอนดรูว์ได้”

เทสส์จึงตรงไปยังห้องนอนของเธอ
และหยิบขวดโหลเจลลี่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้
แล้วแม่หนูก็เทเศษสตางค์ทั้งหมดลงบนพื้นห้อง
ค่อยๆ นับ...ถึง 3 ครั้ง ก็ได้จำนวนเท่าเดิม
แล้วบรรจงเก็บใส่ ขวดโหลและปิดฝาตามเดิม
เธอผลุบผลันวิ่งไปไกลถึง 6 บล็อก
เพื่อไปยังร้านขายยา
เทสส์นั่งรอเภสัชกรอย่างอดท
แต่เขาช่างดูยุ่งเสียเหลือเกิน
เธอจึงขยี้เท้าไปมาแต่เสียงนั้นก็ไม่ช่วยอะไรเธอเลย
ลองกระแอมดู แต่ก็ไร้ผลเช่นเคย
ในที่สุด เธอเอาเหรียญ 25 เซนต์ออกมาจากขวดโหล
แล้วเคาะกับเคาน์เตอร์กระจก

ได้การล่ะ.. เภสัชกรหันมาถามด้วยเสียงรำคาญ ๆ ว่า
”หนูจะเอาอะไรเหรอ ฉันกำลังคุยกับน้องชายที่เพิ่งมาจากชิคาโก เราไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว”
เขาพูดต่อโดยมิทันที่จะรอคำตอบจากหนูน้อย

" ค่ะ.. หนูอยากจะคุยเรื่องน้องชายของหนู”
เทสส์ตอบด้วยเสียงเนือยพอกั
“เขาป่วยหนักมากหนูเลยอยากจะมาขอซื้อปาฏิหาริย์”

“อะไรนะ” เภสัชกรถามขึ้น

”เขาชื่อแอนดรูว์ค่ะ หนูรู้แต่ว่าเขามีอะไรก็ไม่รู้อยู่ในหัวใจ ได้ยินพ่อพูดว่า มีเพียงปฏิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วยชีวิต เขาได้ เจ้าปาฏิหาริย์นี้ราคาเท่าไรค่ะ”

"หนู ..เราไม่ได้ขายปาฏิหาริย์หรอก ขอโทษนะฉันช่วยเธอไม่ได้หรอก” เภสัชกร คนเดิมตอบเสียงนุ่มขึ้น

”แต่หนูมีเงินจ่ายนะคะ ถึงมันจะไม่พอ แต่หนูจะเอา
ที่เหลือมาให้อีก เพียงแต่ช่วยบอกหนูหน่อยเถอะว่า
ราคาเท่าไร”

น้องชายของเภสัชกรผู้แต่งตัวภูมิฐานที่นั่งฟังมา
โดยตลอด ก้มลง ถามแม่หนูว่า
“น้องชายของหนูอยากได้ปาฏิหาริย์แบบไหนเหรอ”

”หนูไม่ทราบค่ะ” ถึงตอนนี้น้ำตาเธอเริ่มเอ่อแล้ว
”หนูรู้แต่ว่า เขาป่วยหนักมาก แม่บอกว่า เขาต้องได้รับการผ่าตัดแต่พ่อไม่มีเงินจ่ายค่าหมอ หนูก็เลยอยากใช้เงินของหนูเองค่ะ”

”แล้วหนูมีอยู่เท่าไรล่ะ” ชายจากชิคาโกถามต่อ

"ดอลลาร กับ 11 เซนต์ค่ะ”
เทสส ์ตอบอย่างไม่เต็มเสียง
”มันเป็น เงินเก็บทั้งหมดที่หนูมีอยู่..แต่หนูจะหามาอีก
ถ้าเกิดจะต้องใช้มากกว่านั้น”

"อืมม.. ช่างบังเอิญแท้ๆ” ชายผู้นั้นยิ้ม "1 ดอลลาร์
11เซนต์ ช่างพอเหมาะพอเจาะกับราคาของปาฏิหาริย์
เสียจริง “
เขากำเงินจำนวนนั้นในมือหนึ่ง
อีกมือหนึ่งฉวยถุงมือของแม่หนูพร้อมกับบอกว่า
“เอาละพาฉันไปที่บ้านหน่อย ฉันอยากพบพ่อแม่
ของหนู เราจะมาดูกันว่าฉันจะมีปาฏิหาริย์อย่างที่หนู
ต้องการหรือเปล่า”

แท้ชายภูมิฐานผู้นั้นคือ คุณหมอคาร์ลตัน อาร์มสตรอง ศัลยประสาทแพทย์ผู้เชี่ยวชา
การผ่าตัดเสร็จสมบูรณ์โดยไม่ได้ใช้เงินเลยสักแดง
แอนดรูว์สามารถกลับบ้านได้ภายในเวลาไม่นานนัก ทั้งยังมีสุขภาพแข็งแรงดี

พ่อกับแม่ดูมีความสุขมากที่ได้คุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
”การผ่าตัดนี้..เป็นเหมือนดังปาฏิหาริย์ ฉันสงสัยจังว่า
มันน่าจะต้องใช้เงิน สักเท่าไรนะ” แม่พูดกับตัวเอง

เทสส์ยิ้ม เธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่า
ปาฏิหาริย์นี้มีมูลค่าเท่าไร.. 1 ดอลลาร์ 11 เซนต์..
บวกกับความศรัทธา ของเด็กน้อยคนหนึ่ง
ปาฏิหาริย์มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้กฎธรรมชาติ
หากอยู่เหนือกฎธรรมชาติ

Dare you risk?

Dare you risk?

การหัวเราะ คือ
การเสี่ยงที่จะถูกมองว่าเป็นคนโง่ To laugh is to risk appearing a fool


การร้องไห้ คือ
การเสี่ยงที่จะถูกมองว่าเป็นคนที่อ่อนไหว To weep is to risk appearing sentimental


การเข้าไปหาผู้อื่น คือ
การเสี่ยงที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้อื่น To reach out for another is to risk involvement


การแสดงความรู้สึกให้ผู้อื่นรับรู้ คือ
การเสี่ยงที่จะได้รับคำปฏิเสธ To expose feeling is to risk rejection


การตั้งเป้าหมายต่อหน้าผู้อื่น คือ
การเสี่ยงที่จะถูกหัวเราะเยาะ To place your dreams before the crowd is to risk ridicule


การรักใครสักคน คือ
การเสี่ยงที่จะไม่ได้รับความรักตอบแทน To love is to risk not being loved in return


การก้าวเดินไปหนทางข้างหน้าที่เต็มไปด้วยสิ่งใหม่ๆ คือ
การเสี่ยงที่ต่อความผิดพลาด To go forward in the face of overwhelming odds is to risk failure


แต่เราก็ควรที่จะเสี่ยงในสิ่งต่างๆเหล่านี้ เนื่องจากอันตรายที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตคือการที่ไม่ยอมเสี่ยงสิ่งใดเลย But risks must be taken, because the greatest hazard in life is to risk nothing



บุคคลที่ไม่เสี่ยงสิ่งใดเลย, จะไม่ได้ทำสิ่งใดเลย, จะไม่มีสิ่งใดเลย และ จะไม่ได้เป็นอะไรเลย The person who risks nothing does nothing, has nothing, is nothing


เขาอาจจะหลีกหนีจากความทุกข์ยากและความเศร้าโศกได้ หากแต่ว่าเขาจะไม่ได้เรียนรู้, ไม่ได้รู้สึก, ไม่ได้เปลี่ยนแปลง, ไม่ได้เติบโต และไม่ได้รู้จักความรักเลย
He may avoid suffering and sorrow, but he cannot learn, feel, change, grow or love


เขาจะถูกล่ามโซ่ไว้ เขาจะกลายเป็นทาสให้กับสิ่งที่เขากังวลไม่กล้าเสี่ยงนั้น
Chained by his certitudes, he is a slave


จะมีเพียงแต่บุคคลที่กล้าเสี่ยงเท่านั้น ที่จะมีอิสระทำสิ่งต่างๆได้
Only a person who takes risks is free

ต้นกำเนิดของนาฬิกา

ต้นกำเนิดของนาฬิกา.....

Clock (นาฬิกา)

เดิมทีการบอกเวลาอาศัยปรากฏการณ์จากธรรมชาติ ดังเช่นระยะเวลาหนึ่งวันกำหนดจากการที่โลกหมุนรอบตัวเองครบหนึ่งรอบ โดยสังเกตจากดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากขอบฟ้าด้านตะวันออก เคลื่อนตัวสูงขึ้นสู่ท้องฟ้าเรื่อยๆ จนเลยลับขอบฟ้าด้านกำเนิดตะวันตก แล้วจึงโผล่ขึ้นมาใหม่ เป็นอันครบรอบนับเวลาได้หนึ่งวัน คนสมัยก่อนจึงรู้เวลาด้วยการสังเกตตำแหน่งต่างๆ ของดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า ซึ่งบอกเวลาเช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น ต่อมามนุษย์เริ่มรู้จักประดิษฐ์นาฬิกาขึ้นใช้ เชื่อกันว่านาฬิกาแดดเป็นวิธีจับเวลายุคแรกสุดของโลกแบบหนึ่ง มีใช้มานานกว่า 5,000 ปีแล้วในอียิปต์ เงาของแสงแดดที่ส่องต้องแผ่นโลหะบนหน้าปัด จะเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ รอบหน้าปัดตัวเลขแต่ละชั่วโมง เวลาจะเปลี่ยนไปตามเงาแดดซึ่งเคลื่อนที่นั้น

นาฬิกาแดดเป็นนาฬิกาที่ใช้บอกเวลารุ่นแรกสุด ชาวสุเมเรียนเป็นชนเผ่าหนึ่งที่ใช้นาฬิกาชนิดนี้ โดยจะแบ่งช่วงเวลาออกเป็น 12 ช่วงในหนึ่งวัน ซึ่งแต่ละช่วงจะกินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยใช้วิธีวัดความยาวแสงเงาเป็นมาตรฐานในการวัดระยะเวล

ด้านชาวอียิปต์แบ่งเวลาออกเป็น 12 ช่วงเช่นกัน โดยดูเวลาจากเสาหินแกรนิตที่เรียกว่า “Cleopratra Needles” การดูเวลาจะสังเกตจากความยาวและตำแหน่งเงาที่แสงอาทิตย์ตกกระทบบนพื้นทำกับขีดทั้ง 12 ช่วงเวลาที่แบ่งไว้ เพื่อจะได้ดูว่าช่วงกลางวันเหลือเวลาที่เท่าไร

ส่วนชาวโรมันแบ่งเวลาออกเป็นกลางวัน กลางคืน คอยมีเจ้าหน้าที่ประกาศเท่านั้น ขณะที่ชาวกรีกประดิษฐ์นาฬิกาน้ำ โดยใช้ถ้วยเจาะรูจมลงในโอ่ง เรียกว่า “Clepsydra” ดูการจมของถ้วยเทียบระยะเวลา ชาวกรีกใช้นาฬิกาชนิดนี้ในศาล ต่อมาในปี 250 ก่อนค.ศ. นักปราชญ์อาร์คิมิดิส พัฒนานาฬิกาน้ำนี้ขึ้นโดยเพิ่มตัวควบคุมความเร็ว เขาปรับปรุงนาฬิกชนิดนี้เพื่อใช้งานทางดาราศาสตร์

ต่อมาจึงมีการทำนาฬิกาทรายขึ้น ซึ่งมีลักษณะเป็นแก้วเป่าสองชิ้นมีรูแคบๆกั้นกลาง โดยใช้ทรายเป็นตัวบอกเวลา จัดเป็นนาฬิกาแบบแรกที่ไม่อาศัยปัจจัยดินฟ้าอากาศ มักใช้จับเวลาระยะสั้นๆ เช่นการกล่าวสุนทรพจน์ การบูชา การเฝ้ายาม การทำอาหาร เป็นต้น

สำหรับนาฬิกายุคใหม่ พัฒนาขึ้นช่วง ค.ศ.100-1300 ในยุโรปและในจีน คำว่า “clock” ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่าระฆัง อาศัยหลักการแรงดึงดูดก่อให้เกิดน้ำหนักที่จะเคลื่อนคันบังคับ ซึ่งจะทำให้เข็มนาฬิกาเคลื่อนที่ หอนาฬิกาแห่งแรกในโลกติดตั้งที่มหาวิหารสตร๊าสบวร์กในเยอรมนี ปีค.ศ.1352-54 และปัจจุบันยังใช้งานได้อยู่ ต่อมาในปีค.ศ.1577 จึงมีการประดิษฐ์เข็มนาที และในปี 1656 จึงมีการประดิษฐ์ลูกตุ้มที่ใช้ในนาฬิกาทำให้บอกเวลาเที่ยงตรงยิ่งขึ้น ส่วนนาฬิกาพก ประดิษฐ์ขึ้นโดยนายปีเตอร์ เฮนไลน์ ชาวเมืองนูเรมบวร์ก จากนั้นในปีค.ศ.1962 มีการประดิษฐ์นาฬิกาเชิงอะตอมซีเซียม ใช้ในหอดูดาวกรีนิช ประเทศอังกฤษ ซึ่งถือว่าจับเวลาคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

บัฟเฟตต์: ทำไม “หุ้น” จึงเหนือกว่า “ทองคำ”

“หุ้น” เหนือกว่า “ทองคำ” และ “พันธบัตร” อย่างไร
warren-himself
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขียน
ชัชวนันท์ สันธิเดช แปล
ผู้คนมักกล่าวว่า การลงทุน คือการกระบวนการในการเอาเงินออกมาบริหาร โดยหวังว่าจะได้รับเงินมากขึ้นในอนาคต
แต่ ที่เบิร์คไชร์ แฮธาเวย์ เราใช้หลักที่เข้มงวดกว่านั้นมาก เราให้คำจำกัดความของ การลงทุน ว่าเป็นการส่งต่ออำนาจซื้อไปสู่ผู้อื่น ด้วยความคาดหวังอย่างมีเหตุผลว่าจะเกิดเป็นอำนาจซื้อที่มากขึ้นในอนาคต หลังจากหักภาษีในอัตราที่น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้
หากจะให้ชี้ชัดยิ่งขึ้น ต้องบอกว่า การลงทุนคือการผัดผ่อนการบริโภค ณ วันนี้ เพื่อให้มีความสามารถที่จะบริโภคได้มากขึ้นในวันข้างหน้า
ด้วย นิยามของเรา จึงก่อให้เกิดผลที่ตามมาอันสำคัญยิ่งประการหนึ่ง กล่าวคือ ความเสี่ยงจากการลงทุน มิอาจวัดได้โดยค่าเบต้า (อันเป็นค่าที่คนในวอลล์สตรีทชอบใช้กัน) หากแต่วัดได้โดยหลักความน่าจะเป็น แต่ต้องเป็น ความน่าจะเป็นอย่างมีเหตุผล ที่ผู้ที่เป็นเจ้าของเงินจะสูญเสียอำนาจซื้อหลังจากถือสินทรัพย์นั้นไประยะ หนึ่ง
ทั้งนี้ ราคาของสินทรัพย์อาจผันผวนขึ้นลงอย่างรุนแรงได้โดยไม่มีความเสี่ยงอันใด หากว่ามันยังคงเพิ่มอำนาจซื้อให้กับผู้ถือสินทรัพย์นั้นอย่างมั่นคงและแน่ นอน หลังจากถือมันไว้ระยะหนึ่ง ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า แม้สินทรัพย์ที่ราคาไม่ผันผวนเลย ก็อาจเต็มไปด้วยความเสี่ยงได้
ความ น่าจะเป็นในการลงทุนนั้นมีอยู่มากมายและหลากหลาย อย่างไรก็ตาม ความน่าจะเป็นดังกล่าวสามารถแบ่งออกได้เป็นสามประเภทหลักๆ ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องเข้าใจคุณลักษณะของความน่าจะเป็นแต่ละประเภท เรามาดูกันเถอะครับ
warren-money
การ ลงทุนต่างๆ ที่อิงกับค่าเงิน เช่น กองทุนตลาดเงิน (Money Market Fund) พันธบัตร การจดจำนอง เงินฝากธนาคาร และอื่นๆ มักถูกเข้าใจว่ามี “ความปลอดภัย” แต่ที่จริงแล้ว พวกมันคือสินทรัพย์ที่อันตรายที่สุด ค่าเบต้าของมันอาจจะเป็นศูนย์ แต่ความเสี่ยงนั้นมากมายเหลือเกิน
ใน ศตวรรษที่ผ่านมา เครื่องมือเหล่านี้ได้ทำลายอำนาจซื้อของนักลงทุนในหลายต่อหลายประเทศ แม้ว่าคนที่ถือมันอยู่จะได้รับผลตอบแทนเป็นระยะๆ ทั้งในรูปของดอกเบี้ยและเงินต้น แต่ผลลัพธ์อันอัปลักษณ์จะยังคงอยู่ตลอดไป
รัฐบาล เป็นผู้กำหนดมูลค่าของเงินตรา แต่ระบบที่เป็นอยู่จะบีบบังคับให้รัฐบาลต้องไหลตามน้ำ โดยใช้นโยบายที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ และมีหลายครั้งหลายหนที่นโยบายเหล่านั้นหลุดออกไปอยู่เหนือความควบคุม
แม้ แต่ในสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ผู้คนคาดหวังว่าค่าเงินน่าจะมีความแข็งแกร่ง เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ก็ยังลดค่าลงถึง 86% ตั้งแต่ปี 1965 ซึ่งเป็นเวลาที่ผมเข้ามาบริหารเบิร์คไชร์ ณ วันนี้ เราต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 7 ดอลล่าร์ เพื่อซื้อสิ่งที่เราเคยซื้อได้ด้วยเงิน 1 ดอลล่าร์ ในเวลานั้น
ด้วย เหตุนี้ กองทุนหรือสถาบันการเงินใดๆ ที่ไม่มีภาระต้องจ่ายภาษี จึงต้องทำดอกเบี้ยให้ได้ถึง 4.3% ต่อปี จากการลงทุนในตั๋วเงินคลังของสหรัฐอเมริกาตลอดระยะเวลาดังกล่าว จึงจะสามารถรักษาอำนาจซื้อของตัวเองไว้ได้ ผู้จัดการของกองทุนหรือสถาบันการเงินเหล่านั้นคงกำลังหลอกตัวเองแน่ๆ ถ้าพวกเขาจะเรียกดอกเบี้ยที่ได้รับว่า “รายได้”
สำหรับนักลงทุนที่ ต้องจ่ายภาษีอย่างคุณและผม ภาพที่เห็นกลับเลวร้ายยิ่งขึ้น ตลอดระยะเวลา 47 ปีที่ผ่านมา ตั๋วเงินคลังของสหรัฐอเมริกาให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.7% ต่อปี ฟังดูแล้วเหมือนจะน่าพอใจ แต่ถ้านักลงทุนแต่ละคนจ่ายภาษีในอัตรา 25% ต่อปี ผลตอบแทน 5.7% นี้ จะทำให้พวกเขาไม่ได้อะไรเลยในแง่ของรายได้ที่แท้จริง
ภาษี เงินได้ที่พวกเขาต้องจ่าย จะกินผลตอบแทนที่ว่าไปถึง 1.4% ในขณะที่ “ภาษีเงินเฟ้อ” ซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จะกัดกินผลตอบแทนอีก 4.3% ที่เหลือจนหมดสิ้น
ที่น่าสังเกตก็คือ ภาษีเงินเฟ้อ มีค่ามากกว่าภาษีเงินได้ธรรมดาที่นักลงทุนคิดว่าเป็นภาระหลักของพวกเขาถึงเกือบ 3 เท่า
ใน ธนบัตรอาจมีคำว่า “เราเชื่อมั่นในพระเจ้า” (In God We Trust) อยู่ก็จริง แต่มือที่ทำให้เครื่องพิมพ์เงินของประเทศเราพิมพ์ธนบัตรออกมานั้น เป็นมือของคนเดินดินธรรมดาๆ นี่เอง
แน่นอนว่าอัตราดอกเบี้ย สูงๆ จะช่วยชดเชยความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่เกิดจากการลงทุนซึ่งอิงกับค่าเงินได้ และอัตราดอกเบี้ยในทศวรรษที่ 80 ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน ไม่สามารถที่จะครอบคลุมความเสี่ยงจากการสูญเสียอำนาจซื้อดังกล่าวได้เลยแม้ แต่น้อย ที่จริงแล้ว พันธบัตรควรมีฉลากคำเตือนให้ระวังอันตรายแปะอยู่ด้วยซ้ำ
ภายใต้ สภาวการณ์ทุกวันนี้ ผมจึงไม่ชอบการลงทุนใดๆ ที่อิงกับค่าเงิน อย่างไรก็ตาม เบิร์คไชร์ ฮาแธเวย์ ก็ยังมีการลงทุนเหล่านั้นอยู่พอสมควรในรูปแบบของการลงทุนระยะสั้นต่างๆ สำหรับ เบิร์คไชร์ สภาพคล่องจำนวนมหาศาลถือเป็นหัวใจสำคัญ และเป็นสิ่งที่เรา ไม่มีทาง จะละเลย
เราจำเป็นต้องมองข้ามอัตราผลตอบ แทนที่ไม่เพียงพอนั้น เพื่อคงไว้ซึ่งสภาพคล่องมหาศาล เราจึงถือตั๋วเงินคลัง ซึ่งเป็นการลงทุนประเภทเดียวที่พอจะไว้วางใจได้ในเรื่องของสภาพคล่อง ภายใต้สภาวะทางเศรษฐกิจที่แสนจะสับสนอลหม่านดังเช่นในปัจจุบัน บนหน้าตักของเราในเวลานี้มีอยู่ราวๆ 2 หมื่นล้านดอลล่าร์ และอย่างน้อยที่สุดต้องมี 1 หมื่นล้านดอลล่าร์สำรองไว้เสมอ
นอกเหนือ จากความจำเป็นในเรื่องของสภาพคล่องและกฎระเบียบต่างๆ แล้ว เราจะซื้อหลักทรัพย์ที่อิงกับค่าเงินก็ต่อเมื่อมีโอกาสที่มันจะให้ผลตอบแทน ในระดับที่สูงผิดปกติเท่านั้น เช่น เมื่อมีการตั้งราคาสินเชื่อผิดๆ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในช่วงเวลาของวิกฤตการเงิน จนเกิดเป็นพันธบัตรขยะ (Junk Bonds) มากมาย หรือเมื่ออัตราดอกเบี้ยนั้นสูง จนเราสามารถที่จะทำกำไรจากพันธบัตรชั้นดีได้ในเวลาที่อัตราดอกเบี้ยนั้นลดลง
แม้ ว่าในอดีต เราจะเคยศึกษาถึงโอกาสที่ทั้งสองเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น และอาจทำการศึกษาซ้ำอีกในอนาคต แต่ตอนนี้ เราแทบไม่เห็นว่าความคาดหวังดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้เลย
ณ วันนี้ ความเห็นของ เชลบี้ คัลลอม คนในวอลล์สตรีทที่เคยพูดเอาไว้เมื่อนานมาแล้วดูเหมือนจะเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน “พันธบัตรที่เชื่อกันว่าให้ผลตอบแทนโดยไม่มีความเสี่ยง กำลังถูกตั้งราคาราวกับมันเป็นสิ่งที่ให้ความเสี่ยงโดยไม่มีผลตอบแทน”
การ ลงทุนอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องของสินทรัพย์ที่ไม่มีวันจะทำให้เกิดผลิตผลอะไรขึ้นมาได้เลย แต่ผู้คนกลับชอบที่จะซื้อหา เนื่องจากผู้ซื้อมีความหวังว่าใครสักคน ซึ่งย่อมรู้เช่นเดียวกันว่าสินทรัพย์ชนิดนี้จะไม่มีวันทำให้เกิดประโยชน์โพด ผลใดๆ จักยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่าเพื่อซื้อมัน อาทิเช่น ดอกทิวลิป ซึ่งได้กลายเป็นสินค้ายอดนิยมของผู้คนในศตวรรษที่ 17
การลงทุนจำพวก นี้ ต้องมีกลุ่มของผู้ซื้อที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยผู้ซื้อถูกล่อให้แห่กันเข้ามาด้วยความเชื่อที่ว่ากลุ่มของคนที่เป็นแบบ พวกเขาจะขยายตัวต่อไปอีก
ผู้ถือสินทรัพย์ชนิดนี้มิได้มีแรง บันดาลใจว่าตัวสินทรัพย์ที่พวก เขาถือจะสร้างผลผลิตใดๆ ทั้งยังรู้ดีกว่าสินทรัพย์นั้นจะยังคงไร้ชีวิตตลอดไป พวกเขาเพียงหวังว่าคนอื่นๆ จะปรารถนามันมากยิ่งขึ้นในอนาคต
warren-gold
ใน บรรดาสินทรัพย์จำพวกนี้ อันดับหนึ่งคือ “ทองคำ” ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของนักลงทุนที่กลัวสินทรัพย์อื่นๆ แทบจะทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินกระดาษ (อันที่จริง สินทรัพย์หลายชนิดก็มีเหตุผลควรที่สมควรจะกลัวอยู่)
อย่างไร ก็ตาม ทองคำมีจุดอ่อนอยู่สองประการ คือ ตัวมันเองเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ ทั้งยังไม่ทำให้เกิดผลิตผลอะไรขึ้นมาได้เลย จริงอยู่ที่ทองคำมีประโยชน์ในแง่ของอุตสาหกรรมและใช้เป็นเครื่องประดับได้ แต่อุปสงค์ในแง่ดังกล่าวมีอยู่จำกัด และไม่สามารถทำให้ทองเพิ่มปริมาณขึ้นได้
ถ้าคุณมีทองคำหนึ่งออนซ์ ทองคำนั้นย่อมมีปริมาณหนึ่งออนซ์เท่าเดิมตราบจนชั่วกัลปาวสาน
สิ่ง สำคัญที่ดึงดูดแฟนพันธุ์แท้ทองคำคือความเชื่อที่ว่า ผู้คนจะเกิดความกลัวในสินทรัพย์อื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ความเชื่อดังกล่าวก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง
ยิ่งไป กว่านั้น ราคาที่สูงขึ้นของทองคำก็ยิ่งทำให้คนมีความกระตือรือร้นอยากจะซื้อมัน จนดึงดูดให้ผู้ลงทุนเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของราคาทองเป็นไปตามข้อสรุปทางการ ลงทุนที่สมเหตุสมผลแล้ว
นักลงทุนที่ชอบแห่ตามกันไม่ว่าจะเป็นการลงทุนประเภทไหน มักจะสร้างความจริงของตัวเองขึ้นมาเสมอ อย่างน้อยก็ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ใน ช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ทั้งหุ้นอินเทอร์เน็ตและบ้านได้แสดงให้เห็นถึงภาวะความเฟ้อเกินไป อันเป็นผลมาจากการผสมผสานกันระหว่างข้อสรุปที่มีเหตุผลกับราคาที่เกินกว่า เหตุ
ในภาวะฟองสบู่ มหาชนที่เคยลังเลสงสัย มักยอมศิโรราบต่อ “ข้อพิสูจน์” ที่ตลาด “จัดให้” และกลุ่มของผู้ซื้อก็จะขยายตัวออกไปอย่างใหญ่หลวง จนเพียงพอที่จะทำให้พฤติกรรมแห่ตามกันนั้นหมุนเวียนต่อไปเรื่อยๆ แต่แล้วฟองสบู่ที่โตเกินก็จะแตกโพละออก และเมื่อนั้น ภาษิตโบราณก็จักได้รับการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่ง …
“สิ่งที่คนฉลาดทำในตอนเริ่มต้น คนโง่จะทำมันในท้ายที่สุด”
ณ วันนี้ คลังทองคำของโลกมีอยู่ประมาณ 170,000 เมตริกตัน หากเอาทองทั้งหมดมาหลอมรวมกัน เราจะได้ลูกบาศก์ทองคำที่มีความกว้างยาวลึกด้านละ 68 ฟุต (เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ขนาดของมันวางลงบนสนามเบสบอลได้พอดิบพอดี) ณ ราคา 1,750 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ ในเวลาที่ผมเขียนบทความนี้ ราคาของทองคำทั้งหมดในโลกจะมีมูลค่ารวมกันเท่ากับ 9.6 ล้านล้านดอลล่าร์ โดยเราจะเรียกสิ่งนี้ว่า “ก้อน A”
เอาล่ะ ทีนี้มาสร้าง “ก้อน B” กันบ้าง ก้อน B ที่ว่านี้มีราคาเท่ากับก้อน A แต่เราสามารถใช้มันซื้อไร่นาทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา (จำนวน 400 ล้านเอเคอร์ ทำรายได้รวมกัน 2 แสนล้านเหรียญต่อปี) บวกกับบริษัท Exxon Mobil จำนวน 16 บริษัท (Exxon Mobil คือบริษัทที่ทำกำไรได้มากที่สุดในโลก โดยสมมุติว่าเรามีบริษัทนี้อยู่ 16 แห่ง แต่ละแห่งทำกำไรได้ปีละ 4 หมื่นล้านเหรียญ) หลังจากซื้อของดังกล่าวแล้ว เราจะยังเหลือเงินติดตัวไว้ใช้ราวๆ หนึ่งล้านล้านดอลล่าร์ (สมมุติว่าเราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองใช้เงินเกินตัว)
คุณพอจะใช้จินตนาการได้ไหมว่า จะมีนักลงทุนคนไหนในโลกที่มีเงิน 9.6 ล้านล้านดอลล่าร์ แล้วจะเลือกซื้อก้อน A แทนที่จะซื้อก้อน B ?!!
นอก จากมูลค่าของทองจะถูกประเมินอย่างไม่สมเหตุสมผลแล้ว ราคาปัจจุบันยังทำให้ตัวมันถูกผลิตขึ้นปีละคิดเป็นมูลค่า 160,000 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งผู้ซื้อ ไม่ว่าจะซื้อเพื่อเป็นเครื่องประดับหรือซื้อไปใช้ในทางอุตสาหกรรม รวมทั้งคนที่กำลังกลัวและนักเก็งกำไร จะค่อยๆ รับเอาอุปทานส่วนเพิ่มนี้ไว้เรื่อยๆ ก่อนที่ราคา ณ ปัจจุบันจะกลายเป็นราคาสมดุลในที่สุด
ในเวลาหนึ่งศตวรรษนับจาก นี้ ที่ดิน 400 ล้านเอเคอร์จะผลิตข้าวโพด ธัญพืช ค้อตต้อน และพืชผลอื่นๆ ได้อีกเป็นจำนวนมาก และจะผลิตผลผลิตที่มีคุณค่าเหล่านั้นต่อไป ไม่ว่าค่าเงินจะเป็นอย่างไรก็ตาม ในขณะที่ Exxon Mobil จะทำเงินปันผลให้กับเจ้าของอีกนับล้านล้านเหรียญ และจะเป็นเจ้าของสินทรัพย์มูลค่าหลายล้านล้านเหรียญเช่นกัน (อย่าลืมว่าคุณมี Exxon อยู่ 16 บริษัท) ในขณะที่ทองคำ 170,000 ตัน จะไม่เพิ่มปริมาณขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว และไม่สามารถสร้างผลิตผลอะไรใดๆ ได้ทั้งสิ้น
คุณอาจลูบคลำก้อนทองคำนี้ด้วยความรัก แต่มันจะไม่มีปฏิกริยาตอบสนองใดๆ แน่นอน
ต้อง ยอมรับว่า เมื่อคนในยุคหนึ่งร้อยปีนับจากนี้รู้สึกกลัว พวกเขาก็จะยังกระโดดเข้าหาทองคำอยู่นั่นเอง อย่างไรก็ตาม ผมมั่นใจว่า ก้อน A ที่มีมูลค่า 9.6 ล้านล้านเหรียญ จะทวีมูลค่าต่อไปในอนาคตในอัตราที่ด้อยกว่าก้อน B อย่างมากเป็นแน่แท้
การ ลงทุนสองประเภทที่เราได้กล่าวไปจะได้รับความนิยมสูงสุดในเวลาที่ความ กลัวพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ความหวาดกลัวว่าเศรษฐกิจจะล่มสลาย ทำให้ผู้คนพากันไปถือสินทรัพย์ที่อิงกับค่าเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎข้อบังคับต่างๆ ของสหรัฐอเมริกาและความกลัวว่าค่าเงินจะล่มสลาย เป็นสิ่งที่ทำให้คนแห่กันไปหาทรัพย์สินที่เคลื่อนไหวไม่ได้อย่างทองคำมากที่ สุด
เราได้ยินคำว่า “เงินสดคือพระเจ้า” (Cash is King) ในปี 2008 ซึ่งเป็นเวลาที่เราควรเอาเงินสดออกมาลงทุน ไม่ใช่เก็บไว้ เราได้ยินคำว่า “เงินสดคือขยะ” ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 อันเป็นเวลาที่การลงทุนแบบตรึงกับค่าเงินดอลล่าร์อยู่ในระดับที่น่าดึงดูดใน ที่สุดในความทรงจำ
ในช่วงเวลานั้น นักลงทุนที่จะทำอะไรก็ต้องรอให้ฝูงชนเห็นด้วยเสียก่อน จึงพลาดโอกาสงามๆ ครั้งใหญ่ในชีวิตไป
warren-bond
สำหรับ ความชอบส่วนตัวของผม ได้แก่ การลงทุนในประเภทที่สาม ซึ่งคุณก็รู้ว่าคืออะไร นั่นก็คือการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างผลิตผล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ เรือกสวนไร่นา หรืออสังหาริมทรัพย์ โดยอุดมคติแล้ว ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้มีศักยภาพที่จะสร้างผลตอบแทนอันทำให้ผู้เป็นเจ้า ของมันยังคงรักษาอำนาจซื้อไว้ได้แม้ในเวลาที่เกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยมีจำเป็นน้อยมากที่จะต้องเอาทุนใส่เพิ่มเข้าไป
เรือกสวนไร่นา อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจต่างๆ เช่น โคคาโคล่า ไอบีเอ็ม รวมทั้ง ซีส์ แคนดี ของเรา ได้ผ่านการทดสอบในช่วงที่เงินเฟ้อเป็นเลขสองหลักมาแล้ว ในขณะที่บริษัทอื่นๆ ก็มีบ้างที่แพ้เงินเฟ้อ เพราะต้องเอาเงินลงทุนใส่เพิ่มเข้าไปค่อนข้างมากเพื่อจะได้ผลตอบแทนเพิ่ม ขึ้น เจ้าของสินทรัพย์เหล่านั้นจึงต้องลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้มากขึ้น แม้กระนั้น การลงทุนเหล่านี้ก็ยังเหนือกว่าพวกสินทรัพย์ที่ไม่สร้างผลิตผลและสินทรัพย์ ที่อิงกับค่าเงินทั้งหลาย
ไม่ว่าค่าเงินในหนึ่งศตวรรษต่อจากนี้ไปจะ อิงอยู่กับทองคำ เปลือกหอย ฟันฉลาม หรือกระดาษ (เหมือนที่เป็นอยู่ในวันนี้) ผู้คนก็พร้อมที่จะเอาแรงกายของตนเองในแต่ละวันเพื่อแลกกับโคคาโคล่าสัก กระป๋องหรือถั่วของซีส์
ในอนาคต ประชากรอเมริกันที่เพิ่มจำนวนขึ้นย่อมจะบริโภคสินค้ามากขึ้น กินอาหารมากขึ้น และต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้นกว่าทุกวันนี้ ผู้คนย่อมจะแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองผลิตได้กับสิ่งที่คนอื่นผลิตได้ตลอดไป ธุรกิจในประเทศของเราจะยังคงนำส่งสินค้าและบริการที่เป็นที่ต้องการให้กับ ประชาชนต่อไป
หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ธุรกิจเหล่านี้ก็คือ “วัว” ซึ่งจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเป็นร้อยๆ ปี และให้ “นม” เราได้อีกมากมาย มูลค่าของมันมิได้วัดโดยตัวกลางในการแลกเปลี่ยนใดๆ แต่วัดจากความสามารถในการผลิตนมของมัน ยอดขายนมที่เพิ่มขึ้นจะทบต้นเป็นผลประโยชน์ของเจ้าของวัว เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อศตวรรษที่ 20 ที่ดาวเพิ่มจาก 66 ถึง 11,497 จุด (และให้ปันผลมากมายเช่นกัน)
เป้าหมายของเบิร์คไชร์ คือสะสมธุรกิจชั้นนำเข้ามาในพอร์ทให้มากขึ้น ทางเลือกแรกของเราคือเป็นเจ้าของมันทั้งหมด แต่อีกทางหนึ่งก็คือ เป็นเจ้าของโดยถือหุ้นซึ่งซื้อขายเปลี่ยนมือได้ของบริษัทนั้นในสัดส่วนพอ สมควร
ผมเชื่อว่า เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ธุรกิจเหล่านี้จะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็น “ผู้ชนะ” เหนือกว่าสินทรัพย์ในอีกสองประเภทที่เราได้อรรถาธิบายให้ฟังแล้ว ที่สำคัญกว่าก็คือ มันจะเป็นการลงทุนที่ ปลอดภัยกว่ามาก
– จบ –
อ้างอิง – นิตยสาร Fortune ฉบับวันที่ 27 ก.พ. 2012
จาก  http://clubvi.com

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

30 คำคมชวนคิดจากนักเดินทาง

30 คำคมชวนคิดจากนักเดินทาง

          นัก เดินทางทุกคนมักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การเดินทางเป็นการเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด และแม้ว่าจะใช้เวลาทั้งชีวิตทุ่มเทกับมันอย่างไร ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการไปเยือนในทุก ๆ ที่ และเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น การเดินทางไปเยือนที่ต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ใครหลายคนอยากจะทำ ด้วยเหตุผลที่ว่า มันคือการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เป็นการเรียนรู้ที่ดีที่สุด ที่ทำให้ชีวิตดูมีคุณค่าขึ้นมาอีกเยอะ

          วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็ขอนำคำคมจากนักเดินทางทั่วโลกมาฝากกันอีกครั้ง เพื่อแบ่งปันความคิดและมุมมองที่พวกเขามีต่อการเดินทาง ซึ่งมันอาจจะพอเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเดินทางสมัครเล่นทั้งหลาย ได้เห็นความสำคัญของการเดินทาง เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องสนุก และไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ชีวิตว่างเปล่าเลยจริง ๆ


"The world is a book and those
who do not travel read only one page."
– St. Augustine
โลกใบนี้เปรียบเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง และคนที่ไม่เคยเดินทางเลย
ก็เปรียบเหมือนคนที่อ่านหนังสือเพียงหน้าเดียว






"All travel has its advantages.
If the passenger visits better countries,
he may learn to improve his own.
And if fortune carries him to worse,
he may learn to enjoy it."
Samuel Johnson
ทุก ๆ การเดินทางมีข้อดีของมัน
หากเราเดินทางไปยังประเทศที่ดีกว่า
เราอาจได้เรียนรู้ว่าจะพัฒนาประเทศของตัวเองอย่างไร
แต่ถ้าหากเราเดินทางไปยังที่ที่เลวร้ายกว่า
เราก็อาจได้เรียนรู้ว่าจะอยู่กับมันอย่างมีความสุขได้อย่างไร






"All journeys have secret destinations of
which the traveler is unaware."
– Martin Buber
ทุกการเดินทางมีจุดหมายปลายทางซ่อนอยู่
จุดหมายที่นักเดินทางไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย






"A good traveler has no fixed plans, and is not intent on arriving." – Lao Tzu
นักเดินทางที่ดีย่อมไม่มีแผนการเดินทางที่แน่นอน และไม่ได้ตั้งใจที่จะไปถึง





"Travelers never think that they are the foreigners." – Mason Cooley
นักเดินทางที่แท้จริงไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนต่างถิ่น




"We live in a wonderful world that is full of beauty,
charm and adventure. There is no end to the adventures
we can have if only we seek them with our eyes open."
– Jawaharal Nehru
เราอยู่ในโลกอันน่าประหลาดใจที่เต็มไปด้วยความงดงาม เสน่ห์ 
และการผจญภัยมากมาย ไม่มีคำว่าสิ้นสุดสำหรับการผจญภัยที่เราสัมผัสมันได้ 
ถ้าเพียงเราเปิดดวงตาค้นหาความงดงามเหล่านั้น





"Decide how you want to feel,
and go wherever it takes to feel that way."
– Andy Hayes
จงถามตัวเองว่าอยากมีความรู้สึกอย่างไร 
และไปเหยียบยืนในที่ทำให้คุณรู้สึกแบบนั้นได้

30 คำคมชวนคิดจากนักเดินทาง


"When one realizes that his life is worthless he
either commits suicide or travels."
– Edward Dahlberg
เมื่อใครสักคนรู้สึกว่าชีวิตตัวเองไร้ค่า เขามักเลือกทางเดินอยู่ 2 ทาง
นั่นคือถ้าไม่ฆ่าตัวตาย ก็ออกเดินทางท่องเที่ยว




"Don't tell me how educated you are,
tell me how much you have traveled."
– Mohammed
ไม่ต้องบอกผมหรอกว่าคุณได้รับการศึกษามาอย่างไร
บอกผมแค่ว่าคุณเดินทางมามากเท่าไหร่ก็พอ





"A journey is like marriage. The certain way 
to be wrong is to think you control it." – John Steinbeck
การเดินทางก็เหมือนกับชีวิตคู่ 
หนทางที่จะทำให้มันล้มเหลวได้ก็คือการคิดที่จะบังคับมัน





"When you’re traveling,
you are what you are right there and then.
People don’t have your past to hold against you.
No yesterdays on the road."
– William Least Heat Moon
เมื่อคุณกำลังเดินทางท่องเที่ยว
คุณคือตัวคุณ ณ ที่นั้น และ ณ ช่วงเวลานั้น
ผู้คนรอบข้างไม่มีใครรู้อดีตของคุณและตำหนิคุณไม่ได้
ไม่มีคำว่า "เมื่อวาน" บนถนนคนเดินทางหรอก






"No one realizes how beautiful it is to travel until he comes home and
rests his head on his old familiar pillow."
– Lin Yutang
ไม่มีใครรู้ว่าการเดินทางนั้นสวยงามอย่างไร
จนกระทั่งได้กลับมาที่บ้านและนอนหนุนหมอนใบเก่าที่คุ้นเคย


30 คำคมชวนคิดจากนักเดินทาง


"A traveler without observation is a bird without wings." – Moslih Eddin Saadi
นักเดินทางที่ไร้ซึ่งการสังเกต ก็เหมือนนกที่ไม่มีปีกบิน





"Tourists don’t know where they’ve been,
travelers don’t know where they’re going."
– Paul Theroux
"นักท่องเที่ยว" จะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน  
แต่ "นักเดินทาง" จะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปไหน





"A journey of a thousand miles must begin with a single step." – Lao Tzu
การเดินทางนับพันไมล์ ต้องเริ่มต้นทีละก้าว





"A journey is best measured in friends, rather than miles."
จำนวนเพื่อนวัดคุณค่าของการเดินทางได้ดีกว่าจำนวนระยะทาง





"Half the fun of travel is the esthetic of lostness." – Ray Bradbury
ครึ่งหนึ่งของความสนุกในการเดินทาง คือความงดงามของการหลงทาง





"The whole object of travel is not to 
set foot on foreign land;
it is at last to set foot on one's own 
country as a foreign land." – G.K. Chesterton
เป้าหมายทั้งหมดของการเดินทาง ไม่ใช่การฝากรอยเท้าไว้ในต่างแดน
แต่ที่สุดแล้ว มันคือการฝากรอยเท้าไว้ในประเทศตัวเอง เหมือนกับมันเป็นต่างแดนต่างหาก






"There is no moment of delight in any pilgrimage
like the beginning of it."
– Charles Dudley Warner
สำหรับนักเดินทางไกลแล้ว ไม่มีช่วงเวลาใดจะสุขใจเท่ากับการเริ่มต้นออกเดินทาง




"If somebody asked me about my inspiration
I would say that it's not the people and it's not the things,
it's travel and experiencing different environments."
– Marc Newson
หากใครสักคนถามถึงแรงบันดาลใจของผม ผมจะตอบว่า 
มันไม่ได้มาจากผู้คนหรือสิ่งต่าง ๆ  แต่มันมาจากการเดินทางท่องเที่ยว 
และการสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างต่างหาก





"Remember that happiness is a way
of travel – not a destination."
– Roy M. Goodman
โปรดจำไว้ว่า ความสุขของการเดินทางเกิดขึ้นระหว่างทางที่ไป ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง





"A child on a farm sees a plane fly overhead 
and dreams of a faraway place.
A traveler on the plane 
sees the farmhouse… 
and thinks of home." – Carl Burns.

เด็ก ๆ ในไร่มองเครื่องบินบนฟ้าแล้วนึกฝันถึงที่ที่ไกลโพ้น แต่กลับกัน 
นักเดินทางที่อยู่บนเครื่องบินนั้นกลับมองมายังบ้านไร่ แล้วคิดถึงบ้านของตัวเอง





"We are all travelers in the wilderness of this world,
and the best we can find in our travels
is an honest friend."
– Robert Louis Stevenson
เราต่างก็เป็นนักเดินทางในความว่างเปล่าของโลกใบนี้
และสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถค้นพบได้จากการเดินทางก็คือ.. เพื่อนที่จริงใจ






"The earth belongs to anyone who stops for a moment,
gazes and goes on his way."
– Colette
โลกใบนี้เป็นของคนที่หยุดเดินแล้วมองดูสิ่งรอบข้าง และเดินต่อไปตามทางของตัวเอง


30 คำคมชวนคิดจากนักเดินทาง


"He who does not travel does not know the value of men." – Moorish proverb
คนที่ไม่เดินทางท่องเที่ยว.. ไม่รู้คุณค่าของชีวิต





"The true traveler is he who goes on foot,
and even then, he sits down a lot of the time."
– Colette
นักเดินทางที่แท้จริงคือนักเดินทางที่เดินเท้า
และจากนั้นพวกเขาก็นั่งลงในที่ต่าง ๆ นับครั้งไม่ถ้วน





"A man travels the world over in search of what he needs,
and returns home to find it."
– George Moore
คนเราเดินทางไปทั่วโลกเพื่อหาคำตอบว่าตัวเองต้องการอะไร
แล้วกลับบ้านไปเพื่อค้นพบสิ่งนั้น





"To awaken alone in a strange town is one of the pleasantest
sensations in the world."
– Freya Stark
การตื่นขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยวในต่างถิ่น เป็นความตื่นเต้นที่สนุกที่สุดในโลก





"The real voyage of discovery consists not in seeking
new landscapes but in having new eyes."
– Marcel Proust
การเดินทางเพื่อเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การค้นหาทิวทัศน์ใหม่ ๆ
แต่คือการมองสิ่งเหล่านั้นในมุมมองใหม่ ๆ ด้วย






"The world is a country which nobody ever yet knew
by description; one must travel through
it one’s self to be acquainted with it."
– Lord Chesterfield
โลกนี้คือดินแดนที่ไม่มีใครรู้จักมันได้จากการบอกเล่า
แต่คนเราจะต้องเดินทางท่องเที่ยวไปเพื่อทำความรู้จักกับมันด้วยตัวเอง



วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556

อาบน้ำตามแบบโบราณ สุขภาพดีผิวใส...ไร้สิว ลดไขมันตกค้างในลำไส้...


เคยได้ยินไหมครับว่า
"เพิ่งกินข้าวเสร็จอย่าเพิ่งอาบน้ำ"
เพราะอาหารจะไม่ย่อย
คนโบราณรู้อะไรที่เราไม่รู้...

เพราะกระเพาะต้องใช้เลือดในการย่อยอย่างมาก
หากไปอาบน้ำ เลือดจะวิ่งมาที่ผิว
ไม่ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร
ท้องก็จะอืด...สุดท้ายก็เน่าใน(เพราะการย่อยไม่สมบูรณ์ อาหารที่เหลือไปหมักหมมที่ลำไส้)

เมื่อเริ่มกินอาหารแล้ว..อย่าเพิ่งอาบน้ำ

วิธีการอาบน้ำที่ดีแต่โบราณก็คือ

ตอนเช้าให้อาบน้ำเย็น...เพื่อให้ร่างกายสดชื่น
และควรอาบก่อนกินอาหารเช้าด้วย
ส่วนตอนเย็นให้อาบน้ำอุ่น
ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย
หลับสบาย

ความเครียดจากกิจกรรม
ระหว่างวันจะถูกระบายออกไปทางรูขุมขน
ไม่เก็บกักไว้ในหัวใจ

"หากความเครียด เก็บกักไว้ในหัวใจ" จะทำให้เป็นคนนอนหลับยาก ตื่นเช้ามาก็จะเพลีย นอนไม่อื่ม

แต่ถ้าตอนเช้าหากไปอาบน้ำอุ่น
ก็จะทำให้เลือดถูกดึงมาที่ผิวมาก
และระบายออกทางรูขุมขนที่เปิด
เสียพลังงานแต่เช้า
จะรู้สึกไม่สดชื่นแต่กลับผ่อนคลาย
ไม่อยากทำอะไร
ซึ่งจริงๆ แล้วในตอนเช้า
เป็นเวลาที่กระเพาะทำงานได้สูงสุด
ย่อยอาหารได้สูงที่สุด
ดังนั้นพวกนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะกินอาหาร
แล้วย่อยยาก ท้องอืด
มีอาการเพลียหลังกินข้าว
ต้องกินกาแฟ ตามลงไปจึงทำให้รู้สึกตื่นขึ้น
สุดท้ายก็ติดกาแฟอีกด้วย
อาหารที่ย่อยไม่หมด จะเน่าที่ภายในลำไส้
ก่อให้เกิดสิวฝ้า เพราะของเสียต้องถูกระบายออกทางรูขุมขน

ควรอาบน้ำเย็นในยามเช้าแทน(อุณหภูมิที่ทนได้
ไม่จำเป็นต้องมาจากตู้เย็น
แต่อาบแล้วรู้สึกเย็น) เพื่อจะช่วยให้รูขุมขนปิด
พลังชี่ถูกเก็บไว้ในกาย
พร้อมกับทำงานได้ตลอดทั้งวั
สังเกตได้เลยว่าจะรู้สึกมีกำลังมากขึ้น
ไม่อ่อนเพลีย


ขอเพิ่มเติมนะครับ
เทคนิคช่วยทำให้หน้าเด้ง...
คือในยามเช้า
ให้เอาน้ำเย็น(เจี๊ยบ)มาล้างหน้า...
(ในสมัยก่อน น้ำฝนในตุ่มก็เย็นชื่นใจแล้วครับ แต่ในเมืองจีน น้ำเย็นถึงใจเลย ส่วนยุคเรา แนะนำให้เอามาจากตู้เย็นเลยครับ)
เนื่องจากที่ใบหน้าเป็นเส้นลมปราณหยางทั้งหมด
ลองเอาน้ำเย็นมาล้างดู จะรู้สึกอุ่น
และสดชื่น เลือดมาเลี้ยงเยอะขึ้น
ผิวหน้าจะไม่หย่อนยานง่าย
บางคนจะเกิดปรากฎการณ์ "อมชมพู"
โดยมิได้คาดหมาย
ดวงตาจะสดใส เปล่งประกาย
ลองทำดูครับ

ร้อนให้ถูกเวลา...
เย็นให้ถูกเวลา...

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
 

โดย ผีเสื้อหน้าหยก

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

ขอบคุณรูปจาก
http://www.jujusalon.com/blog/hot-showers-bad-for-skin/

วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556

เฟซบุ๊กช่วยให้คนมีความสุข


ถ้าหากท่านรู้สึกทุกข์ใจ เฟซบุ๊กช่วยได้ ซึ่งก็น่าแปลกที่ผลจากการศึกษา คนที่ใช้เวลาอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์นานมักไม่ดี

 ถ้า หากท่านรู้สึกทุกข์ใจ เฟซบุ๊กช่วยได้ ซึ่งก็น่าแปลกที่ผลจากการศึกษา คนที่ใช้เวลาอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์นานมักไม่ดี แต่เฟซบุ๊กกลับช่วยคลายทุกข์ได้

การศึกษาชิ้นใหม่แนะนำว่าการ ใช้เวลากับออนไลน์ ถ้าหากมีเพื่อนจำนวนนับร้อย ๆ คน มีการส่งข่าวคราวให้ทราบกันตลอดเวลามีรูปถ่ายกิจกรรมต่าง ๆ จะช่วยให้ผู้ใช้เวลาอยู่กับคอมพิวเตอร์ออนไลน์มีความสุขขึ้นมาได้

นัก วิจัยแห่งมหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกา ซึ่งศึกษาเรื่องนี้ได้กล่าวว่าเฟซบุ๊กเป็นที่ที่พวกเรามักจะพยายามทำให้ตน เองดูดีที่สุด ในหน้าเฟซบุ๊ก ซึ่งก็ทำให้อัตตา (Ego) ของตนเองสูงขึ้น

รอง ศาสตราจารย์ เจฟฟรี แฮนค็อกได้กล่าวว่า “เฟซบุ๊กไม่เหมือนกระจกส่องหน้า ซึ่งกระจกเงาจะช่วยให้เรารู้ว่าเราจริง ๆ เป็นใคร ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความไม่สบายใจได้ ถ้าหากภาพของเราที่ปรากฏต่อหน้าไม่เหมือนกับที่เราตั้งใจหรือวาดฝันไว้ เช่นอาจจะไม่สวยไม่หล่อดังที่คิดไว้”

“แต่เฟซบุ๊กมีแต่สิ่ง ที่ดี ๆ ของเราใส่เข้าไปข้างในให้เพื่อน ๆ ได้ดู เราไม่ได้หลอกตัวเองหรอกและก็ไม่ได้โกหกใครหากแต่เราโชว์เฉพาะสิ่งที่เป็น บวกเอาไว้เท่านั้น”

รองศาสตราจารย์ เจฟฟรี แฮนค็อกเป็นผู้เขียนบทรายงานชื่อ “กระจก กระจกที่แขวนไว้บนฝาผนังเฟซบุ๊ก” ซึ่งได้ลงตีพิมพ์ในวารสารจิตวิทยาไซเบอร์ พฤติกรรมและบริการเครือข่ายสังคม ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้เอง ล่าสุดในบทรายงานได้ทำการทดสอบกับนักศึกษาจำนวน 63 คน ซึ่งได้ถูกปล่อยให้อยู่กับคอมพิวเตอร์ในห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยฯ คอมพิวเตอร์นี้เปิดใช้งานอยู่แต่ไม่ได้โชว์หน้าเฟซบุ๊กโดยตรง คอมพิวเตอร์อีกส่วนหนึ่งซึ่งปิดไว้อยู่นั้นจะมีกระจกส่องหน้าอยู่ที่สกรีน แทน

นักศึกษากลุ่มที่อยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นให้เข้าไป ใช้เฟซบุ๊กได้เพียง 3 นาทีเท่านั้นที่จะทบทวนดูแลตนเองและคุยกับเพื่อนในเฟซบุ๊ก หลังจากนั้นนักศึกษาก็จะได้รับกระดาษเพื่อตอบคำถามเพื่อวัดความพึงพอใจและ ความสุขของตนเอง

ผลปรากฏว่านักศึกษาที่อยู่กับเฟซบุ๊ก รู้สึกพึงพอใจและมีความสุขกับตนเองมากกว่านักศึกษาอีก 2 กลุ่มที่เข้าไปในเฟซ บุ๊กและเข้าไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขประวัติสิ่งที่อยากจะบอกเรื่องตนเองให้กับผู้ อื่น ได้รับคะแนนความสุขสูงสุด

ทางรองศาสตราจารย์ เจฟฟรี แฮนค็อก ได้กล่าวเสริมว่า “สำหรับหลาย ๆ คนที่ตั้งข้อสมมุติฐานโดยอัตโนมัติว่าอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งที่ไม่ดีนั้น งานวิจัยชิ้นนี้คือตัวอย่างแรกที่แสดงให้เห็นว่า เฟซบุ๊กมีประโยชน์ในด้านจิตวิทยา”

แต่อย่างไรก็ตามแหล่งข่าว ระบุว่าในกลุ่มนักจิตวิทยาก็ยังมีอีกส่วนที่เห็น ตรงข้าม คือ เด็กบางคนอาจจะถูกนำไปในพฤติกรรมทางไม่ดีได้เหมือนกัน โดยที่จะใส่พฤติกรรมที่ไม่ดีของตนเอง เข้าไปในเฟซบุ๊กด้วย

แต่ก็หวังว่างานวิจัยชิ้นนี้คงจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากเฟซบุ๊กเสียละ.


รศ.ดร.บุญมาก ศิริเนาวกุล
อธิการบดี มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด
boonmark@stamford.edu

ที่มา : www.dailynews.co.th

HOLIDAY


HOLIDAY

SCORPIONS


INTRO  :  Dm  C  Bb  A  ( 4 time  )


Dm
let  me  take  you  far  away

               C          A    Dm

you'd  like  a  holiday


Dm
let  me  take  you  far  away

              C           A     Dm

you'd  like  a  holiday


                    C                                    Dm
sine  the  cold  days  part  the  sun

           G                           A

the  good  time  and  fun


Dm       
let  me  take  you  far  away

              C         A   Dm

tou'd  like  a  holiday


Dm
let  me  take  you  far  away

             C          A    Dm

tou'd  like  a  holiday


Dm       
let  me  take  you  far  away

             C          A   Dm

tou'd  like  a  holiday


       C                                                 Dm
it  sends  you  trouble  for  so  long

      G                 A

wherever  you  are


Dm       
let  me  take  you  far  away

             C          A   Dm

tou'd  like  a  holiday


  Dm                   C                Bb              A
ooh  ah.....ha.....ah.....ha.....ah.....ha.....ah

                               Dm 

longin.  for  the   sun    you  will  came 


                 C                              Bb
to  the  island  away  with  me

                             Dm                  

longin  for  the  sun  he  will  come


                   C                                                Bb    Dm
on  the  island  many  miles  away  from  home

                Dm                        C                 Bb

he  will  come  on  the  island  with  me


                           Dm
longin,  for  the  sun  you  will  come

                              C                         Bb               Dm

to  the  island  many  miles  away  from  home.....


                       Dm   C   Bb
away  from  home.....

                       Dm   C   Bb

away  from  home.....


                       Dm   C   Bb
away  from  home.....