วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

L-carnitine แอล-คาร์นิทีน คืออะไร มีผลอย่างไร

แอล-คาร์นิทีน (L-carnitine)

แอล-คาร์นิทีน เป็นชื่อของสารตัวหนึ่ง ที่ถูกสร้างขึ้นในร่างกายของเรานี่เองโดยสร้างขึ้นมาจากกรดอะมิโนสองตัวคือ ไลซีน (lysine) และเมไทโอนิน(methionine) ซึ่งแอล-คาร์นิทีนในร่างกายของคนเราถูกสร้างขึ้นไปใช้ในหน้าที่ต่าง ๆ หลายอย่าง ที่สามารถพูดในภาพรวมได้ว่า แอล-คาร์นิทีน ช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนกรดไขมันไปเป็นพลังงานนั่น เอง ซึ่งพลังงานที่ได้มานี้ส่วนใหญ่ก็ถูกใช้สำหรับการทำงานของกล้ามเนื้อทั่ว ร่างกายเรานั่นเอง จากหน้าที่การทำงานพื้นฐานของสารชนิดนี้ทำให้สื่อโฆษณานำมาใช้เป็นประเด็น หลักในการสร้างโฆษณาให้เห็นว่าเมื่อกินเข้าไปแล้วคุณจะอยู่นิ่งไม่ได้ รู้สึกคึกคัก คล้ายกับว่าร่างกายมีพลังงานมากเกิน

แอล-คาร์นิทีน ถูกสร้างขึ้นภายในตับและไตและนำไปเก็บไว้ที่กล้ามเนื้อลายตัวอย่างเช่น กล้ามเนื้อตามแขน ขา ของเรานั่นเอง นอกจากนี้ยังถูกลำเลียงไปที่กล้ามเนื้อหัวใจ สมองและสเปิร์ม ซึ่งในส่วนของสเปิร์มนั้นจะทำให้เคลื่อนที่ได้อย่างเหมาะสม เพราะแอล-คาร์นิทีนจะไปเร่งให้ไมโทคอนเดรียเปลี่ยนไขมันมาเป็นพลังงาน สำหรับ ในอาหารจะพบสารแอล-คาร์นิทีนได้จากอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เนื้อแดง นม ผลิตภัณฑ์จากนม ผลไม้ ได้แก่ พวกผลอะโวกาโด(Avocado) ธัญพืช ผักใบเขียว ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วหมัก (tempeh)

คนที่รับประทานอาหารมังสะวิรัติ อาจจะเกิดการขาดแอล-คาร์นิทีนได้ในบางครั้ง เนื่องจากแอล-คาร์นิทีน พบได้ในเนื้อสัตว์ นมและถั่วหมักหรือในผู้ป่วยบางรายที่มีปัญหาที่เกี่ยวกับการดูดซึมของระบบ ย่อยอาหาร รวมไปถึงในกรณีที่มีผู้ป่วยขาดแอล-คาร์นิทีน (ซึ่งพบน้อยมาก) ที่อาจเกิดจากความผิดปกติของยีนหรือตับ ไต หรือกินอาหารที่มีกรดอะมิโนไลซีนและเมไทโอนีนน้อย ก็จะมีอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ เจ็บหน้าอกเจ็บกล้ามเนื้อ แขนขาอ่อนแรง ความดันเลือดต่ำและอาจมีอาการมึนงงสับสนร่วมด้วย เป็นต้น

คาร์นิทีนที่นำมาใช้นั้นมีหลายลักษณะ เช่นผลิตภัณฑ์บรรจุเม็ดและสารน้ำ เป็นต้น โดยนำมาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมที่ออกมาใช้และรู้จักกันอย่างแพร่หลายนั้นมีอยู่ สามรูปแบบ

      - รูปแบบแรก คือ แอล-คาร์นิทีน(LC) เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายและมีราคาถูกที่สุด
      - รูปแบบที่สอง คือ แอล-อะซิทิลคาร์นิทีน [L-acetylcarnitine(LAC)] เป็นเพียงรูปแบบเดียวที่นำมาใช้ในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer) และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง
      - รูปแบบสุดท้าย คือ แอล-โพรพิโอนิลคาร์นิทีน[L-propionylcarnitine(LPC)] ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาอาการเจ็บหน้าอกและโรคที่เกี่ยวข้องกับ หัวใจและใช้ได้ผลดีกับโรคที่เกี่ยวกับเส้นเลือดตามแขนขาอีกด้วย (peripheral vascular disease-PVD) ถ้าเรากินเข้าไปการดูดซึมของแอล-คาร์นิทีนจะเกิดขึ้นในลำไส้เล็กและลำไส้ ใหญ่ ส่วนแพทย์สามารถให้แอล-คาร์นิทีนกับผู้ป่วยได้ทั้งทางเส้นเลือดและโดยการกิน

สำหรับแอล-คาร์นิทีนนั้นมีข้อควรรู้ดังนี้ คือ
1. คาร์นิทีนทำให้แก่ช้าลง ในเหตุผลแรกนี้ก็ชวนให้เราหลงใหลใคร่อยากกินคาร์นิทีนกันแล้ว ที่คาร์นิทีนทำให้แก่ช้าลงก็เพราะเหตุผลที่ว่าเซลล์ในร่างกายทุก ๆเซลล์ไม่ว่าจะเป็นเซลล์สมอง เซลล์จากระบบภูมิคุ้มกัน เซลล์จากหัวใจหรือเซลล์จากที่อื่น ๆ ของร่างกายทั้งหมดจะทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อได้รับพลังงานเพียงพอและเหมาะสมกับ ความต้องการของเซลล์แต่ละชนิดและคาร์นิทีนนี่เองทำให้เซลล์มีอายุยืนนานขึ้น

2. คาร์นิทีนทำให้ระดับไตรกลีเซอร์ไรด์(triglycerides)อยู่ในระดับต่ำและช่วย เพิ่มระดับคอเรสเตอรอลที่มีประโยชน์ (HDL-คอเรสเตอรอล) ในเลือด

3. คาร์นีทีนช่วยป้องกันโรคหัวใจโดยมีผลทำให้สุขภาพโดยรวมของหัวใจดีขึ้น และช่วยป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวด้วย (1/3 ของสาเหตุที่ทำให้คนเป็นโรคหัวใจตาย)

4. คาร์นีทีน ช่วยให้น้ำหนักลดโดยเฉพาะการใช้ร่วมกับวิธีการที่เราลดอาหารจำพวกแป้งลงในอาหารแต่ละมื้อ

5. คาร์นีทีน ช่วยเพิ่มระดับพลังงานของร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่ทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ หรือเกิดความเสียหายใด ๆ กับร่างกายเหมือนกับที่พบในสารสกัดจากพืชบางชนิด

6. คาร์นิทีนช่วยให้ความสามารถในการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น มีความทนทานมากขึ้นและป้องกันเนื้อเยื่อไม่ให้เกิดความเสียหายอันเนื่องมา จากปริมาณออกซิเจนในเซลล์ไม่เพียงพอ

7. คาร์นิทีนและ อะซีทีล-แอล-คาร์นีทีน(Acetyl-L-carnitine) ทำให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น

8. อะซีทีล-แอล-คาร์นีทีนช่วยลดความเสียหายของเซลล์ประสาทอันเนื่องมาจากความ เครียดและอาจมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ แต่ได้ผลเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอายุน้อย ทำให้อาการของโรคไม่เป็นไปมากกว่านี้

9. อะซีทีล-แอล-คาร์นีทีน มีผลต่อสุขภาพจิตในทางบวกและลดภาวะความเครียด

10. คาร์นิทีนช่วยในการทำงานของตับ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของคนเรา


แต่ การใช้แอล-คาร์นิทีนมีข้อควรระวัง คือ สำหรับคนที่จะซื้อผลิตภัณฑ์แอล-คาร์นิทีนมาใช้ควรต้องระวังเพราะอาจมีผลข้าง เคียงต่าง ๆ เกิดขึ้นกับร่างกายได้และอาจจะเข้าทำปฏิกิริยากับยาอื่น ๆ ที่กินร่วมกัน ดังนั้นในการใช้แต่ละครั้งควรอยู่ในความควบคุมดูแลของแพทย์จะปลอดภัยกว่าและ ข้อควรจำให้ขึ้นใจก็คือสารทุกอย่างมีทั้งประโยชน์และโทษในตัวเองขึ้นกับ ปริมาณและช่วงจังหวะเวลาของการใช้ ถึงแม้ว่าแอล-คาร์นิทีน จะไม่ปรากฏผลข้างเคียงใด ๆ ที่เด่นชัดมากนัก แต่ก็มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าถ้ากินเข้าไปมากขนาด 5 กรัมต่อวัน หรือมากกว่าอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ ส่วนอาการข้างเคียงอื่น ๆ ที่อาจพบได้ เช่น มีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น มีกลิ่นตัวและเกิดอาการผื่นแดง ในนักกีฬาหรือคนที่กินแอล-คาร์นิทีนเสริมสำหรับการเล่นกีฬา เพื่อช่วยในการสลายไขมันและช่วยทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อดีขึ้น ก็ควรต้องหยุดใช้เพื่อให้กล้ามเนื้อได้พักบ้างอย่างน้อยเดือนละ 1 อาทิตย์ คือไม่ควรใช้อย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน สำหรับคนที่มีอาการแพ้ต่อ อาหารโปรตีน เช่น ไข่ นมหรือข้าวสาลีไม่ควรกินผลิตภัณฑ์ที่เสริม แอล-คาร์นิทีนเป็นอันขาด รวมถึงคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับและไต เด็กที่มีอายุยังไม่ถึง 2 ขวบและสตรีมีครรภ์ก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้ ถ้าจำเป็นก็ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

--------------------------------------------------------------


แอล-คาร์นิทีน กับบทบาทเพื่อการลดน้ำหนัก

แอลคาร์นิทีน(L-Carnitine) เป็นชื่อกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ผลิตได้ที่ตับ โดยมีการสังเคราะห์จาก กรดอะมิโน 2 ชนิดคือ Lysine และ Methionine พร้อมกับอาศัยตัวเร่งให้เกิดการสังเคราะห์ ได้แก่ Niacin วิตามิน B6 C และธาตุเหล็ก โดยปกติจะพบในสัตว์เนื้อแดงชนิดต่างๆ โดยเฉพาะในส่วนกล้ามเนื้อลายจะมากเป็นพิเศษ

ซึ่งในความเป็นจริงนั้น หน้าที่หลักของ Carnitine จะช่วยลำเลียงโมเลกุลไขมันเล็กๆ เข้าไปใช้ใน เซลล์ต่างๆ ซึ่งในจุดนี้เองที่จะทำให้เกิดการนำไขมันไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน ดังนั้นหากร่างกายขาดสาร Carnitine หรือมีไม่เพียงพอที่จะเป็นตัวพาเม็ดไขมันไปเผาผลาญแล้วละก็ ปัญหาสุขภาพอันเนื่องมาจากไขมันสะสมก็จะเป็นเรื่องตามมาที่สามารถส่งผลเสีย ต่อร่างกายของคุณอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ความอ้วน และการสะสมของไขมันตามหลอดเลือด ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความยืดหยุ่นของหลอดเลือด และ นำมาซึ่งปัญหาไขมันในเลือดสูงและมีความดันโลหิตสูงตามมาได้ นอกจากนี้ ยังอาจจะมีอาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้อแขนขา อ่อนเพลีย ซึมและเหนื่อยง่าย

มีงานวิจัยมากมายที่ยืนยันถึงประโยชน์ของการใช้ L-carnitine ในวงการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ ในผู้ป่วยที่มีปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรงมาก จนไม่สามารถตั้งศีรษะให้ตรงได้ ซึ่งหลังจากมีการใช้ L-carnitine ขนาด 2 กรัม/วัน อาการดังกล่าวก็หายไป หรือการใช้ในนักกีฬา ก็มีการยืนยันว่าสามารถเพิ่มแรงสำหรับการออกกำลังกายหนักๆ เช่น วิ่งมาราธอน รวมทั้งมีการใช้ L-carnitine เพื่อช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น

ใน ส่วนบทบาทในการลดน้ำหนักและลด ไขมันสะสม ดูเหมือนว่า L-carnitine น่าจะเป็นคำตอบที่ดี ของคุณๆ ที่ประสงค์จะลดน้ำหนักด้วยสารธรรมชาติ เนื่อง จากมีการทดลองนำเอา เซลล์ไขมัน (Adipose Tissue) ของคนอ้วนมาวิเคราะห์ พบว่าในเนื้อเยื่อดังกล่าวแทบจะไม่มี Carnitine อยู่เหลือ เลย ดังนั้นจากความสัมพันธ์นี้เอง ทีมนักวิจัยจึงตั้งสมมติฐานว่า กลไกการลำเลียงไขมันเพื่อไปใช้ หาก ถูกขัดขวางด้วยวิธีใดก็ตาม ก็จะทำให้เกิดการสะสมของไขมันได้ แต่หากให้สารชนิดนี้เพิ่มเข้าไป ก็จะส่งผลให้อัตราการเผาผลาญของไขมัน สะสมมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่สนับสนุนผลการลดไขมันสะสมของคนอ้วน โดยการศึกษาดังกล่าว นักวิจัยได้ให้แบ่งวัยรุ่นที่อ้วนเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก ให้รับประทาน L-carnitine ขนาด 2 g/วัน อีกกลุ่มได้ยาหลอก (Placebo) โดยทั้งสองกลุ่มถูกจำกัด อาหารให้มีแคลอรี่เท่าๆกัน และมีการออกกำลังกายขนาดปานกลางเหมือนกัน หลังจากนั้น 3 เดือน ต่อมาจึงทำการวัดน้ำหนักตัวอีกครั้ง พบว่ากลุ่มที่ได้รับ L-carnitine น้ำหนักตัวลดลงเฉลี่ย 11 ปอนด์ ขณะที่อีกกลุ่มลดลงเฉลี่ยไม่ถึง 2 ปอนด์ และปริมาณไขมันในกระแสเลือดก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ดังนั้น L-carnitine ซึ่งแม้ว่าจะพบมากในสัตว์เนื้อแดงก็ตาม แต่ปริมาณที่ได้จากการทานใน 1 วัน จะให้กรดอะมิโนดังกล่าวเพียง 50-200 mg.เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงไขมันสะสมไปเป็นพลังงาน ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่าหากคุณต้องการลดน้ำหนักด้วยสารธรรมชาติ L-carnitine ขนาด 500-1,000 mg./วัน (1 cap 500 mg. หรือ แบบชนิดน้ำ 1000 mg/30 ml. สำหรับข้อดีในเรื่องการออกฤทธิ์ที่รวดเร็วขึ้น) น่าจะเป็นปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการลดน้ำหนัก และหากคุณมีดัชนีมวลร่างกาย (BMI) มากกว่า 25 ปริมาณการใช้จะสูงขึ้นตามลำดับ ซึ่ง
มีงานวิจัยที่ยืนยันความปลอดภัยจาก การใช้ว่า L-carnitine ยังไม่มีผลทางลบแม้จะรับประทานในขนาดสูงถึง 4 g./ วันก็ตาม


credit : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=photomania&month=06-2007&date=15&group=6&gblog=2


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ประโยชน์ของ L -Carnitine

 

 
 L-Carnitine คืออะไร ?
เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ร่างกายจะได้รับจากอาหารที่รับประทาน และได้รับจากการ
สังเคราะห์ขึ้นมา

L-Carnitineสังเคราะห์มากจากกรดอะมิโนไลซีน ซึ่งร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นมา
เองได้ โดยใช้ Vitamin B6 ,B5 ,Vitamin C ,เหล็ก และกรดอะมิโนเมไทโอนีน
ส่วนแหล่งอาหารที่มี Carnitine ร่างกายจะได้รับมาจากเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ  โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งเนื้อแดง เช่นเนื้อวัว และเนื้อหมู
Carnitine มีหน้าที่ช่วยนำกรดไขมันเข้าไปเผาผลาญในไมโตคอนเดรีย (เพื่อเปลี่ยนให้
เป็นพลังงาน) คล้ายๆสายพานลำเลียงไขมันไปเผาผลาญนั่นแหละครับ
ซึ่งไมโตคอนเดรียจะทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังงาน คล้ายๆแบตเตอรี่รถยนต์ครับ
สิ่งที่ผู้ผลิตอาหารเสริมบอกกับคุณ
ผู้ผลิตอาหารเสริมมักจะบอกว่า การได้รับ L-Carnitine ที่เพียงพอจะช่วยเผาผลาญไขมัน
ได้มากขึ้น  และจะทำให้เซลล์นำไขมันไปเผาผลาญมากขึ้นแทนที่จะสะสมเป็น
“ไขมัน”   

ดังนั้นจึงมีความคิดที่ว่า ถ้าให้ L-Carnitine มากขึ้น ก็น่าที่จะเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น
ดังนั้นจึงมักใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารเสริมสำหรับนักกีฬาและอาหารเสริมลด
น้ำหนัก   
สิ่งที่ผู้ผลิตอาหารเสริม ไม่ได้บอกให้คุณรู้
ทฤษฎีบอกว่าช่วยในการพากรดไขมันเข้าสู่ไมโตคอนเดรียเพื่อใช้ในการเผาผลาญมาก
ขึ้น    แต่ความจริงในทางปฏิบัติสามารถเร่งการเผาผลาญไขมันได้จริงหรือ???

การทดลองหนึ่งในแมวอ้วน (แน่นอนครับ ไม่ใช่คน) เปรียบเทียบกับการได้รับ L-
Carnitine 250 มิลลิกรัมต่อวัน กับไม่ให้ เป็นระยะเวลา 18 สัปดาห์ พบว่าแมวอ้วนที่ได้
รับ L-Carnitine น้ำหนักลดลงได้เร็วกว่า
แต่การทดลองนี้ไม่ได้ทำในมนุษย์ครับ ซึ่งแน่นอนครับว่าสิ่งที่ได้ผลในแมว อาจไม่ได้
ผลในมนุษย์
การศึกษาว่าการให้ L-Carnitine จะสามารถช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันในมนุษย์ได้จริง
หรือไม่ น้อยมาก- น้อยมากมาก  และเป็นข้อมูลที่ยังขัดแย้งกันอยู่   บางการศึกษาก็บอก
ว่าไม่ช่วย   บางการศึกษาบอกว่าช่วยน้อยมากครับ
โดยปกติแล้วเราเองก็ได้รับ L-Carnitine จากอาหาร และสร้างขึ้นมาในร่างกายได้เอง
และมีการศึกษาว่า L-Carnitine ช่วยลดน้ำหนักได้ไม่มาก จนไม่มีความสำคัญในเรื่อง
ของการลดน้ำหนัก
มีการศึกษาหนึ่งได้ทดลองให้ L-Carnitine ในหญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีน้ำหนักเกิน
13 คน และเปรียบเทียบกับยาหลอก (ไม่ได้รับ L-Carnitine) 15 คน และให้รับประทาน
อาหารเหมือนๆกัน และออกกำลังกายเหมือนกัน ไม่พบความแตกต่างในดัชนีมวลกาย
มีการศึกษาอยู่อีกการศึกษาหนึ่งที่นำหญิงอ้วน 36 ราย ให้ L-Carnitine 4 กรัมต่อวัน เป็น
ระยะเวลา 60 วัน ให้ผลไม่แตกต่างจากเม็ดแป้ง  ไม่ว่าจะเป็นผลในเรื่องของน้ำหนักตัว
หรือดัชนีมวลกาย  แม้แต่การเผาผลาญไขมัน
โดยทั่วไปผลลัพธ์ในเรื่องของการเผาผลาญไขมันโดยใช้ L-Carnitine นั้น แทบจะไม่
ช่วยในเรื่องของการเร่งการเผาผลาญเลย  ไม่เคยมีใครลดน้ำหนักส่วนเกินในร่างกายได้
จริงโดยการรับประทาน L-Carnitine เสริมหรอกครับ
L-Carnitine ค่อนข้างที่จะปลอดภัยนะครับ และผลข้างเคียงมีน้อยมากๆ ตอนนี้ยังไม่
ปรากฏว่าทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายใดๆ   แต่อย่าลืมครับว่า “ปลอดภัย”  ก็ไม่ได้
หมายความว่า “ได้ผล”
ถ้าคุณยังเลือกที่จะใช้ L-Carnitine อยู่ ในหลายๆการศึกษาแนะนำให้รับประทานวันละ
500 มิลลิกรัมต่อวัน  (บางการศึกษาใช้มากถึง 5000-6000 มิลลิกรัมเสียด้วยซ้ำ)
ดังนั้นถ้าคุณเห็นในสลากอาหารเสริม(ส่วนใหญ่ ) เขียนไว้ว่ามี L-Carnitine รวมอยู่เพียง
แค่ 20 ,50 หรือ 100 มิลลิกรัมแล้วล่ะก็  ปริมาณเพียงแค่นั้น….ไม่ช่วยอะไรหรอกครับ
ในขณะเดียวกัน ก็เป็นอาหารเสริมที่จัดว่า แพงมาก เมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิต เมื่อ
เปรียบเทียบกับราคา กับผลลัพธ์แล้ว ไม่มีหลักฐานใดที่สนับสนุนว่าช่วยในการลด
ไขมันส่วนเกินได้จริง  แต่ถ้าคุณจะรับประทานเพื่อหวังผลในเรื่องของสุขภาพทั่วไป
แล้ว ผมไม่ห้ามครับ
อ้างอิง
-The clinical and metabolic effects of rapid weight loss in obese pet cats and the influence of
supplemental oral L-carnitine. – Center SA – J Vet Intern Med – 01-NOV-2000; 14(6): 598-608 (From
NIH/NLM MEDLINE)

-Carnitine does not improve weight loss outcomes in valproate-treated bipolar patients consuming an
energy-restricted, low-fat diet. – Elmslie JL – Bipolar Disord – 01-OCT-2006; 8(5 Pt 1): 503-7 (From
NIH/NLM MEDLINE)
http://manocanitine.wordpress.com/about/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น