
เสก
สรรค์ ประเสริฐกุล ให้สัมภาษณ์ถึงตัวกูของกูในวันที่ถอดหมวก
ทางรายการพื้นที่ชีวิต สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย วันที่ 11 พฤศจิกายน 2553
ตอนวันที่ถอดตัวกู ดำเนินรายการโดยภิญโญ ไตรสุริยธรรมา
ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : สิ่ง
ที่ผู้คนจดจำอาจารย์ได้มากที่ สุด คือภาพการเป็นผู้นำนักศึกษาในยุค 14
ตุลาคม 2516 สิ่งนั้นส่งผลต่อตัวอาจารย์ของอาจารย์
หรือส่งผลต่อตัวกูของกูอย่างไรบ้างครับ
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล :
เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่มากและมีผลต่อประวัติศาสตร์ของ
ประเทศไทย ซึ่งผลกระทบที่มีต่อตัวผม คนหนุ่มคนหนึ่งมันก็มากตามไปด้วย
อาจจะเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า defining moment
มันสร้างคำนิยามเกี่ยวกับตัวผม เริ่มจากคนอื่นมองผมอย่างไร
จากนั้นผมก็ดูดซับมาเป็นการมองตัวเองว่าผมมีบทบาทเช่นนี้
ควรจะทำสิ่งเหล่านี้
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นการหาผลประโยชน์หรือลาภยศ สรรเสริญ
แต่มันลึกไปมากกว่านั้นอีก
คือคิดว่าตัวเองมีหน้าที่ในการจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
สร้างประเทศไทยให้เป็นไปตามอุดมคติ แล้วพาผมไปลำบากลำบนในอีกหลายปีต่อมา
ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา :
หลังจากวันนั้นอาจารย์เดินทางเข้าป่าต่อสู้ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง
ประเทศไทย แล้ววันนึงอาจารย์ก็เดินทางออกจากป่า
และเขียนไว้ในหนังสือหลายเล่มว่าเป็นเพราะความพ่ายแพ้
ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นมันส่งผลกระทบต่ออัตตาตัวกูของกูของอาจารย์อย่างไรบ้าง
ครับ
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : ส่ง
ผลมาก เพราะในช่วงแรกเรารู้สึกว่าตัวตนที่เราคิดว่าเป็นของเรา มันหายไป
หรือว่าแตกสลาย ยกตัวอย่างเช่น ความเป็นนักรบ ที่ไม่รู้จะไปรบกับใคร
ความรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำสิ่งต่างๆ เพื่อประชาชน ก็ไม่มีบทบาทอะไรให้ทำ
เพราะตัวเราเองถูกตราไว้แล้วว่าเป็นอดีตผู้ก่อการร้าย ขณะเดียวกัน
เราก็ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมที่เราเคยรังเกียจได้
มันก็เลยทำให้ผมต้องออกไปแสวงหาตัวตนใหม่ ไปเยียวยาตัวเองตามป่าเขา
หรือท้องทะเลเป็นเวลาหลายปี
ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : อาจารย์ใช้ชีวิตอย่างไร ในช่วงที่รู้สึกว่ากำลังแสวงหาตัวตนใหม่ ท่ามกลางความพ่ายแพ้ในสภาวะจิตใจของตัวเอง
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล :
อันดับแรกเพื่อรักษาสิ่งที่ตัวเองคิดว่าใช่ตัวเอง
ก็คือไม่เข้าไปยุ่งกับสังคมมากนัก
ไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เราเคยวิจารณ์ หรือกระทั่งเคยประณาม
ซึ่งทำให้ผมมีที่เหลือไม่มาก นอกจากเวลาทำงานเขียนหนังสือ สอนหนังสือแล้ว
ผมก็เลยใช้ชีวิตอยู่ตามป่าเขา ท้องทะเลค่อนข้างมาก ขณะที่ไปสัมผัสกับป่าเขา
ท้องทะเล ก็ได้ความรู้สึกใหม่ๆ เกิดขึ้น
โดยเฉพาะความรู้สึกว่ามันมีสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเรามากนัก
และบางทีก็เกิดคำถามว่าสิ่งที่เรายึดถือว่าเป็นตัวเองมันอาจเป็นแค่ภาพลวงตา
ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา :
ช่วงนั้นเหมือนตัวตนของอาจารย์ยังไม่ได้สลาย หรือว่าหายไป
แต่เหมือนว่ามีเกราะป้องกันตัวมากขึ้น
อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกราะเหล่านั้นเริ่มละลายหายไปครับ
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล :
ช่วงนั้นตัวตนไม่ได้สลายไปหรอก
แต่ว่ามันคลายความตึงเครียดที่จะยืนยันตัวตนเก่าๆ แล้วเกิดคำถามใหม่ๆ
ซึ่งก็ยังมุ่งไปในทิศที่เป็นอัตตาอยู่
คือยังคิดอยู่ว่าชีวิตจะสูงส่งจะดีงามด้วยวิธีใด หนทางไหน
จึงจะถูกต้องที่สุดสำหรับตัวเราเอง พอช่วงอายุประมาณ 50
ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เริ่มมองเห็นว่าสิ่งต่างๆ
ที่เรายึดถือกันมามันเป็นมายาทั้งนั้น อันที่จริงมนุษย์เรา
มันไม่มีตัวตนที่เรายึดถือกัน มันเป็นการปรุงแต่งมาจากหลายปัจจัย
เมื่อเราไปยึดถือตรงนั้นแล้ว ก็จะเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
ระหว่างเรากับตัวเราเอง ระหว่างเรากับผู้อื่น สุดท้ายมันกลายเป็นความทุกข์
และไอ้ความทุกข์เหล่านี้ ทำให้ผมเริ่มสำนึกตื่นขึ้นมาว่า
บางทีอาจจะถึงเวลาต้องวางเรื่องของตัวตนลงไป
ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : เป็นด้วยวัย อายุ จังหวะเวลา หรือมีองค์ประกอบอื่นที่เป็นจุดพลิกผัน
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล :
คงมีองค์ประกอบหลายอย่าง อันดับแรก เราอาจเห็นโลกมาหลายๆ มิติ
ซึ่งก็มีวัยเข้ามาเกี่ยวข้อง อันดับต่อมา ก็คือมีเหตุการณ์หลายๆ
อย่างในชีวิตที่นำความทุกข์มาให้เราแล้วสั่งสมตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงจุดที่เราคิดว่าถ้ายังฝืนไปตามหนทางเดิมที่จะบอกตัวเองว่าเป็นสิ่งนั้น
สิ่งนี้ ก็จะทำให้เราเผชิญปัญหาในลักษณะที่มุ่งมั่นจะเอาชนะ เอาชนะอุปสรรค
เอาชนะความขัดแย้ง เอาชนะตัวเองในเรื่องต่างๆ แต่ถ้าเราวางตัวเองซะแล้ว
ประเด็นเหล่านี้จะหายไปหมด เรารู้สึกเบา รู้สึกโล่งขึ้นมา
ในช่วงนึงของความทุกข์ ความที่มันทนไม่ไหว
ผมเลยพลัดหลงเข้าไปสู่อนัตตาโดยบังเอิญ ก็คือปล่อยวางทุกอย่าง
วันนี้ไม่คิดอะไรแล้ว ช่วงแรกอยู่นิ่งๆ ไม่คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร
ก็เลยกลายเป็นภาวะภาวนาโดยไม่รู้ตัว มาค้นคว้าภายหลังจึงรู้ว่า
นั่นคือที่เรียกว่าภาวนา
ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : อะไรคือความทุกข์ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล :
ความทุกข์ทั้งหมดมาจากความขัดแย้ง ความขัดแย้งกับตัวเอง
ความขัดแย้งกับผู้อื่น ท้ายที่สุดมันนำมาสู่ความขัดแย้งกับตัวเอง
ขัดแย้งกับคนใกล้ตัว ในที่สุดก็เกิดการพลัดพราก สิ่งเหล่านี้
มันทำให้ผมต้องหาวิธีตอบคำถามของตัวเองใหม่หมด จนมาพบว่าการจะตอบคำถาม
บางครั้งมันจะต้องเปลี่ยนคำถามด้วย
คำถามบางอย่างมันตอบไม่ได้เพราะตั้งคำถามไปผิดทาง เมื่อเราวางคำถามเก่าๆ
ทำให้เราค้นพบอะไรใหม่ๆ มากขึ้น
ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : อาจารย์ตั้งคำถามใหม่ กับชีวิต กับการพลัดพรากของชีวิตไว้ว่ายังไงบ้างครับ
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล :
ยกตัวอย่างคำถามเก่าๆ เช่นว่าชีวิตมันมีคุณค่าตรงไหน
ชีวิตจะดีงามจะสูงส่งกว่าธรรมดาได้อย่างไร พอวางคำถามเหล่านี้ไป
เราก็พบว่าชีวิตไม่ใช่เรื่องแบบนั้น
ชีวิตไม่ใช่เรื่องการปรุงว่าอะไรสูงอะไรต่ำ อะไรมีคุณค่า อะไรไร้คุณค่า
ชีวิตก็คือชีวิต มันเคลื่อนคล้อยไปตามกฎเกณฑ์ของอนิจจัง
เราต้องยอมรับความเป็นจริงตรงนี้ ในภาษาอังกฤษเขาจะใช้ศัพท์ธรรมะว่า
surrender ผมคิดว่าพอแปลเป็นไทย อาจจะหมายถึง
การมอบตัวให้กับอะไรสักอย่างที่ใหญ่กว่าเรา
หรือว่าการยอมต่อกฎเกณฑ์ของความจริงโดยไม่มีข้อกังขา
เพราะฉะนั้นมันทำให้เราเผชิญทุกอย่างได้อย่างสงบ ไม่ต้องไปฝืน
ไม่ต้องไปต้าน
แค่เผชิญทุกอย่างได้อย่างสงบก็เป็นการดับทุกข์ด้วยตัวของมันเองแล้ว
ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา :
อาจารย์เขียนหนังสือเรื่องวันที่ถอดหมวก แล้วอธิบายความหลายอย่าง
และมีคนสงสัยว่าอาจารย์ถอดหมวกจริงๆ หรือมีหมวกบางใบที่แอบเก็บเอาไว้สวมใส่
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล :
ในแง่ติดหลงอยู่กับคำนิยามต่างๆ ของตัวเอง อันนี้ไม่มีเลย
ส่วนใหญ่ของชีวิต ผมไม่ค่อยได้คิดว่าผมเป็นใคร
ส่วนสังคมจะสมมติให้ผมเป็นอะไร ก็เป็นเรื่องของสังคม
แต่ว่าในฐานะของปุถุชนที่ยังไม่ได้บรรลุธรรม ในส่วนที่มันเป็นกิเลส
ส่วนที่เป็นตัวตนในลักษณะของโลภ โกรธ หลง ก็ยังเหลืออยู่
โลภอาจจะไม่มากเท่าไหร่ แต่โกรธนี่ยังเหลือพอสมควร
หลงนี่อาจจะเหลือน้อยหน่อย สิ่งเหล่านี้จะต้องขัดเกลาต่อไป
เพราะเราเริ่มมีสติ เริ่มรู้ทันตัวเองมากขึ้น
มันเป็นเส้นทางที่เราตัดสินใจว่าจะเดินไปในทิศทางนี้
ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : ทุกวันนี้ อะไรที่กระตุ้น ปลุกเร้าความโกรธของอาจารย์
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล :
มนุษย์ ผมยังมีโทสะกับคนที่ไม่เคารพกติกา คนที่ข่มเหงรังแกคนอื่น
คนที่เอารัดเอาเปรียบคนอื่นในชีวิตประจำวัน ไอ้ตรงนี้มันกระตุ้นผม
แต่ว่าโชคดีที่เดี๋ยวนี้โกรธแล้วรู้ตัว คือมันจะโกรธอยู่ได้ไม่กี่วินาที
แล้วก็หายไป แต่รู้ว่าเรายังไปไม่ถึงไหน
ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา :
ถ้าเป็นสมัยก่อน เวลาอาจารย์โกรธในความอยุติธรรมทั้งหลาย
คนก็อาจจะเห็นภาพอาจารย์ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย
หรือเรียกร้องสังคมที่มันดีงาม มีความเสมอภาคมากขึ้น แต่วันนี้คนถามว่า
อาจารย์เสกสรรค์หายไปไหนในตลอด 20-30 ปีที่ผ่านมา
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : ผม
ไม่ได้หายไปไหน ผมอยู่ตรงนี้ แต่ว่าอยู่ด้วยสายตาที่ต่างจากเดิม
ซึ่งในทางธรรมเขาเรียกว่า ผมพยายามที่จะข้ามพ้นทวิภาวะ
ข้ามพ้นการจัดโลกให้เป็นขาวล้วนดำล้วน จัดเป็นคู่ขัดแย้งต่างๆ
มันทำให้ผมไม่ไปเลือกข้างในการขัดแย้งทางการเมือง
แต่พยายามที่จะมองว่าเขามีประเด็นที่ดีๆ ตรงไหนที่เราเห็นด้วยได้
หรือว่าตรงไหนที่เขาทำไม่ถูกเราก็วิจารณ์
ลักษณะอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าผมไม่มีจุดยืน
แต่มันหมายความว่าผมมีจุดยืนอีกแบบหนึ่ง
เพราะฉะนั้นมันอาจจะไม่ถูกใจคนที่เขาเลือกข้างเต็มร้อยในแต่ละสีแต่ละฝ่าย
อันที่จริงผมมีความรักความห่วงใยทุกคนทุกฝ่าย
แล้วก็พยายามที่จะอดทนกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เรารู้สึกบ่อยครั้งก็ไม่
เป็นธรรมกับเราเท่าไหร่นัก
ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : เสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องไหนที่อาจารย์รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมกับอาจารย์ในภาวะแบบนี้ครับ
เสก
สรรค์ ประเสริฐกุล : หนึ่งคือในลักษณะว่าไม่เอาใจใส่เรื่องบ้านเมือง
ซึ่งไม่จริง เราเอาใจใส่มาตลอด สองคือระยะหลัง ผมถูกหาว่าไปเข้าข้างรัฐบาล
ขณะคนที่อยู่ฝ่ายรัฐบาลหลายคนก็หาว่าไปเข้าข้างฝ่ายค้าน
สิ่งเหล่านี้ผมไม่ถึงขั้นโกรธ แต่ว่ารู้สึกรำคาญใจ
และไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ว่าจุดยืนของเรามันมีจริง
แต่ไม่ได้ยืนเหมือนที่เขาจัดขั้วกันอยู่
ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : ถ้าอย่างนั้นในภาวะบ้านเมืองแบบนี้ อาจารย์คิดว่าธรรมะข้อไหนจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทย
เสก
สรรค์ ประเสริฐกุล : คิดว่าเป็นธรรมะข้อเดียวกับที่ผมปฏิบัติอยู่
ในเวลานี้ผมไปเป็นคณะกรรมการปฏิรูปฯ ก็พยายามใช้ธรรมะ เริ่มจากขันติ
คือรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่แตกต่างจากความคิดของเรา
จากนั้นผมก็ใช้หลักของเมตตา กรุณา
ที่เชื่อมั่นว่าเรามีกุศลเจตนาในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
สุดท้ายเมื่อวางอุเบกขา ก็คืออะไรที่เราทำได้ก็ทำ
อะไรที่เราทำไม่ได้ก็รู้จักสงบจิตสงบใจลง
ผมก็เลยทำงานหนักเพิ่มขึ้นมาได้อีกหน่อยนึง หลังจากที่มีงานอื่นๆ อยู่แล้ว
ผมคิดว่าหลักธรรมกับการใช้ชีวิต รวมทั้งการเมืองไม่ควรแยกจากกัน
ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของชีวิต อาจารย์อยากใช้ชีวิตไปในมิติไหนมากที่สุด
เสก
สรรค์ ประเสริฐกุล : ถ้าเลือกได้ ผมอยากจะปลีกวิเวก ถือสันโดษ
ซึ่งที่จริงผมทำมาหลายปี แต่เวลานี้บ้านเมืองมีทุกข์ร้อน
ผมก็ต้องกลับมาสู่หลักของการกลับมาช่วยผู้อื่นดับทุกข์ด้วย
ตัวเราเองก็จะต้องฝึกแสวงหาความสงบท่ามกลางความสับสน
อย่างที่เรียนตั้งแต่ต้นว่าในระหว่างที่ไปทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมือง
เราก็ทำเพื่อตัวเองด้วยการปฏิบัติธรรม
ใช้หลักธรรมมาทำให้ตัวเองสามารถผ่านความร้อนรุ่มของปัญหาต่างๆ
ในแต่ละวันได้ ถือเป็นการเรียนรู้อีกแบบนึงที่มีค่าต่อชีวิตผมเช่นเดียวกัน
ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : อาจารย์
อ่านหนังสือต่างประเทศมา มาก ในต่างประเทศบางทีเมื่อนักเขียนเสียชีวิต
เขาจะมีคำจารึกที่หน้าหลุมศพ วันนึงเมื่ออาจารย์ได้จากไป
ถ้ามีคนอยากจะเขียนอะไรสักอย่างหนึ่ง หรือโดยความปรารถนาของอาจารย์
อาจารย์อยากให้คำนั้นที่เขียนถึงคืออะไรครับ
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : ขอให้เป็นกิเลสของผู้อื่นก็แล้วกันนะ คุณอย่ามาถามผมถึงเรื่องพวกนี้เลย
เรื่องจาก : http://www.onopen.com/
เรื่องจาก : http://www.onopen.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น