“หุ้น” เหนือกว่า “ทองคำ” และ “พันธบัตร” อย่างไร
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขียนชัชวนันท์ สันธิเดช แปล
ผู้คนมักกล่าวว่า การลงทุน คือการกระบวนการในการเอาเงินออกมาบริหาร โดยหวังว่าจะได้รับเงินมากขึ้นในอนาคต
แต่
ที่เบิร์คไชร์ แฮธาเวย์ เราใช้หลักที่เข้มงวดกว่านั้นมาก
เราให้คำจำกัดความของ การลงทุน ว่าเป็นการส่งต่ออำนาจซื้อไปสู่ผู้อื่น
ด้วยความคาดหวังอย่างมีเหตุผลว่าจะเกิดเป็นอำนาจซื้อที่มากขึ้นในอนาคต
หลังจากหักภาษีในอัตราที่น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้
หากจะให้ชี้ชัดยิ่งขึ้น ต้องบอกว่า การลงทุนคือการผัดผ่อนการบริโภค ณ วันนี้ เพื่อให้มีความสามารถที่จะบริโภคได้มากขึ้นในวันข้างหน้า
ด้วย
นิยามของเรา จึงก่อให้เกิดผลที่ตามมาอันสำคัญยิ่งประการหนึ่ง กล่าวคือ
ความเสี่ยงจากการลงทุน มิอาจวัดได้โดยค่าเบต้า
(อันเป็นค่าที่คนในวอลล์สตรีทชอบใช้กัน) หากแต่วัดได้โดยหลักความน่าจะเป็น
แต่ต้องเป็น ความน่าจะเป็นอย่างมีเหตุผล
ที่ผู้ที่เป็นเจ้าของเงินจะสูญเสียอำนาจซื้อหลังจากถือสินทรัพย์นั้นไประยะ
หนึ่ง
ทั้งนี้
ราคาของสินทรัพย์อาจผันผวนขึ้นลงอย่างรุนแรงได้โดยไม่มีความเสี่ยงอันใด
หากว่ามันยังคงเพิ่มอำนาจซื้อให้กับผู้ถือสินทรัพย์นั้นอย่างมั่นคงและแน่
นอน หลังจากถือมันไว้ระยะหนึ่ง ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า
แม้สินทรัพย์ที่ราคาไม่ผันผวนเลย ก็อาจเต็มไปด้วยความเสี่ยงได้
ความ
น่าจะเป็นในการลงทุนนั้นมีอยู่มากมายและหลากหลาย อย่างไรก็ตาม
ความน่าจะเป็นดังกล่าวสามารถแบ่งออกได้เป็นสามประเภทหลักๆ
ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องเข้าใจคุณลักษณะของความน่าจะเป็นแต่ละประเภท
เรามาดูกันเถอะครับ

การ
ลงทุนต่างๆ ที่อิงกับค่าเงิน เช่น กองทุนตลาดเงิน (Money Market Fund)
พันธบัตร การจดจำนอง เงินฝากธนาคาร และอื่นๆ มักถูกเข้าใจว่ามี
“ความปลอดภัย” แต่ที่จริงแล้ว พวกมันคือสินทรัพย์ที่อันตรายที่สุด
ค่าเบต้าของมันอาจจะเป็นศูนย์ แต่ความเสี่ยงนั้นมากมายเหลือเกิน
ใน
ศตวรรษที่ผ่านมา
เครื่องมือเหล่านี้ได้ทำลายอำนาจซื้อของนักลงทุนในหลายต่อหลายประเทศ
แม้ว่าคนที่ถือมันอยู่จะได้รับผลตอบแทนเป็นระยะๆ
ทั้งในรูปของดอกเบี้ยและเงินต้น แต่ผลลัพธ์อันอัปลักษณ์จะยังคงอยู่ตลอดไป
รัฐบาล
เป็นผู้กำหนดมูลค่าของเงินตรา
แต่ระบบที่เป็นอยู่จะบีบบังคับให้รัฐบาลต้องไหลตามน้ำ
โดยใช้นโยบายที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ
และมีหลายครั้งหลายหนที่นโยบายเหล่านั้นหลุดออกไปอยู่เหนือความควบคุม
แม้
แต่ในสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ผู้คนคาดหวังว่าค่าเงินน่าจะมีความแข็งแกร่ง
เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ก็ยังลดค่าลงถึง 86% ตั้งแต่ปี 1965
ซึ่งเป็นเวลาที่ผมเข้ามาบริหารเบิร์คไชร์ ณ วันนี้
เราต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 7 ดอลล่าร์
เพื่อซื้อสิ่งที่เราเคยซื้อได้ด้วยเงิน 1 ดอลล่าร์ ในเวลานั้น
ด้วย
เหตุนี้ กองทุนหรือสถาบันการเงินใดๆ ที่ไม่มีภาระต้องจ่ายภาษี
จึงต้องทำดอกเบี้ยให้ได้ถึง 4.3% ต่อปี
จากการลงทุนในตั๋วเงินคลังของสหรัฐอเมริกาตลอดระยะเวลาดังกล่าว
จึงจะสามารถรักษาอำนาจซื้อของตัวเองไว้ได้
ผู้จัดการของกองทุนหรือสถาบันการเงินเหล่านั้นคงกำลังหลอกตัวเองแน่ๆ
ถ้าพวกเขาจะเรียกดอกเบี้ยที่ได้รับว่า “รายได้”
สำหรับนักลงทุนที่
ต้องจ่ายภาษีอย่างคุณและผม ภาพที่เห็นกลับเลวร้ายยิ่งขึ้น ตลอดระยะเวลา 47
ปีที่ผ่านมา ตั๋วเงินคลังของสหรัฐอเมริกาให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.7% ต่อปี
ฟังดูแล้วเหมือนจะน่าพอใจ แต่ถ้านักลงทุนแต่ละคนจ่ายภาษีในอัตรา 25% ต่อปี
ผลตอบแทน 5.7% นี้ จะทำให้พวกเขาไม่ได้อะไรเลยในแง่ของรายได้ที่แท้จริง
ภาษี
เงินได้ที่พวกเขาต้องจ่าย จะกินผลตอบแทนที่ว่าไปถึง 1.4% ในขณะที่
“ภาษีเงินเฟ้อ” ซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จะกัดกินผลตอบแทนอีก 4.3%
ที่เหลือจนหมดสิ้น
ที่น่าสังเกตก็คือ ภาษีเงินเฟ้อ มีค่ามากกว่าภาษีเงินได้ธรรมดาที่นักลงทุนคิดว่าเป็นภาระหลักของพวกเขาถึงเกือบ 3 เท่า
ใน
ธนบัตรอาจมีคำว่า “เราเชื่อมั่นในพระเจ้า” (In God We Trust) อยู่ก็จริง
แต่มือที่ทำให้เครื่องพิมพ์เงินของประเทศเราพิมพ์ธนบัตรออกมานั้น
เป็นมือของคนเดินดินธรรมดาๆ นี่เอง
แน่นอนว่าอัตราดอกเบี้ย
สูงๆ
จะช่วยชดเชยความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่เกิดจากการลงทุนซึ่งอิงกับค่าเงินได้
และอัตราดอกเบี้ยในทศวรรษที่ 80 ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม
อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน
ไม่สามารถที่จะครอบคลุมความเสี่ยงจากการสูญเสียอำนาจซื้อดังกล่าวได้เลยแม้
แต่น้อย ที่จริงแล้ว
พันธบัตรควรมีฉลากคำเตือนให้ระวังอันตรายแปะอยู่ด้วยซ้ำ
ภายใต้
สภาวการณ์ทุกวันนี้ ผมจึงไม่ชอบการลงทุนใดๆ ที่อิงกับค่าเงิน อย่างไรก็ตาม
เบิร์คไชร์ ฮาแธเวย์
ก็ยังมีการลงทุนเหล่านั้นอยู่พอสมควรในรูปแบบของการลงทุนระยะสั้นต่างๆ
สำหรับ เบิร์คไชร์ สภาพคล่องจำนวนมหาศาลถือเป็นหัวใจสำคัญ
และเป็นสิ่งที่เรา ไม่มีทาง จะละเลย
เราจำเป็นต้องมองข้ามอัตราผลตอบ
แทนที่ไม่เพียงพอนั้น เพื่อคงไว้ซึ่งสภาพคล่องมหาศาล
เราจึงถือตั๋วเงินคลัง
ซึ่งเป็นการลงทุนประเภทเดียวที่พอจะไว้วางใจได้ในเรื่องของสภาพคล่อง
ภายใต้สภาวะทางเศรษฐกิจที่แสนจะสับสนอลหม่านดังเช่นในปัจจุบัน
บนหน้าตักของเราในเวลานี้มีอยู่ราวๆ 2 หมื่นล้านดอลล่าร์
และอย่างน้อยที่สุดต้องมี 1 หมื่นล้านดอลล่าร์สำรองไว้เสมอ
นอกเหนือ
จากความจำเป็นในเรื่องของสภาพคล่องและกฎระเบียบต่างๆ แล้ว
เราจะซื้อหลักทรัพย์ที่อิงกับค่าเงินก็ต่อเมื่อมีโอกาสที่มันจะให้ผลตอบแทน
ในระดับที่สูงผิดปกติเท่านั้น เช่น เมื่อมีการตั้งราคาสินเชื่อผิดๆ
ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในช่วงเวลาของวิกฤตการเงิน จนเกิดเป็นพันธบัตรขยะ
(Junk Bonds) มากมาย หรือเมื่ออัตราดอกเบี้ยนั้นสูง
จนเราสามารถที่จะทำกำไรจากพันธบัตรชั้นดีได้ในเวลาที่อัตราดอกเบี้ยนั้นลดลง
แม้
ว่าในอดีต เราจะเคยศึกษาถึงโอกาสที่ทั้งสองเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น
และอาจทำการศึกษาซ้ำอีกในอนาคต แต่ตอนนี้
เราแทบไม่เห็นว่าความคาดหวังดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้เลย
ณ วันนี้ ความเห็นของ เชลบี้ คัลลอม คนในวอลล์สตรีทที่เคยพูดเอาไว้เมื่อนานมาแล้วดูเหมือนจะเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน
“พันธบัตรที่เชื่อกันว่าให้ผลตอบแทนโดยไม่มีความเสี่ยง กำลังถูกตั้งราคาราวกับมันเป็นสิ่งที่ให้ความเสี่ยงโดยไม่มีผลตอบแทน”
การ
ลงทุนอีกประเภทหนึ่ง
ซึ่งเป็นเรื่องของสินทรัพย์ที่ไม่มีวันจะทำให้เกิดผลิตผลอะไรขึ้นมาได้เลย
แต่ผู้คนกลับชอบที่จะซื้อหา เนื่องจากผู้ซื้อมีความหวังว่าใครสักคน
ซึ่งย่อมรู้เช่นเดียวกันว่าสินทรัพย์ชนิดนี้จะไม่มีวันทำให้เกิดประโยชน์โพด
ผลใดๆ จักยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่าเพื่อซื้อมัน อาทิเช่น ดอกทิวลิป
ซึ่งได้กลายเป็นสินค้ายอดนิยมของผู้คนในศตวรรษที่ 17
การลงทุนจำพวก
นี้ ต้องมีกลุ่มของผู้ซื้อที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
โดยผู้ซื้อถูกล่อให้แห่กันเข้ามาด้วยความเชื่อที่ว่ากลุ่มของคนที่เป็นแบบ
พวกเขาจะขยายตัวต่อไปอีก
ผู้ถือสินทรัพย์ชนิดนี้มิได้มีแรง
บันดาลใจว่าตัวสินทรัพย์ที่พวก เขาถือจะสร้างผลผลิตใดๆ
ทั้งยังรู้ดีกว่าสินทรัพย์นั้นจะยังคงไร้ชีวิตตลอดไป
พวกเขาเพียงหวังว่าคนอื่นๆ จะปรารถนามันมากยิ่งขึ้นในอนาคต

ใน
บรรดาสินทรัพย์จำพวกนี้ อันดับหนึ่งคือ “ทองคำ”
ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของนักลงทุนที่กลัวสินทรัพย์อื่นๆ แทบจะทุกชนิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินกระดาษ (อันที่จริง
สินทรัพย์หลายชนิดก็มีเหตุผลควรที่สมควรจะกลัวอยู่)
อย่างไร
ก็ตาม ทองคำมีจุดอ่อนอยู่สองประการ คือ
ตัวมันเองเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้
ทั้งยังไม่ทำให้เกิดผลิตผลอะไรขึ้นมาได้เลย
จริงอยู่ที่ทองคำมีประโยชน์ในแง่ของอุตสาหกรรมและใช้เป็นเครื่องประดับได้
แต่อุปสงค์ในแง่ดังกล่าวมีอยู่จำกัด
และไม่สามารถทำให้ทองเพิ่มปริมาณขึ้นได้
ถ้าคุณมีทองคำหนึ่งออนซ์ ทองคำนั้นย่อมมีปริมาณหนึ่งออนซ์เท่าเดิมตราบจนชั่วกัลปาวสาน
สิ่ง
สำคัญที่ดึงดูดแฟนพันธุ์แท้ทองคำคือความเชื่อที่ว่า
ผู้คนจะเกิดความกลัวในสินทรัพย์อื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
ความเชื่อดังกล่าวก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง
ยิ่งไป
กว่านั้น
ราคาที่สูงขึ้นของทองคำก็ยิ่งทำให้คนมีความกระตือรือร้นอยากจะซื้อมัน
จนดึงดูดให้ผู้ลงทุนเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของราคาทองเป็นไปตามข้อสรุปทางการ
ลงทุนที่สมเหตุสมผลแล้ว
นักลงทุนที่ชอบแห่ตามกันไม่ว่าจะเป็นการลงทุนประเภทไหน มักจะสร้างความจริงของตัวเองขึ้นมาเสมอ อย่างน้อยก็ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ใน
ช่วง 15 ปีที่ผ่านมา
ทั้งหุ้นอินเทอร์เน็ตและบ้านได้แสดงให้เห็นถึงภาวะความเฟ้อเกินไป
อันเป็นผลมาจากการผสมผสานกันระหว่างข้อสรุปที่มีเหตุผลกับราคาที่เกินกว่า
เหตุ
ในภาวะฟองสบู่ มหาชนที่เคยลังเลสงสัย มักยอมศิโรราบต่อ
“ข้อพิสูจน์” ที่ตลาด “จัดให้”
และกลุ่มของผู้ซื้อก็จะขยายตัวออกไปอย่างใหญ่หลวง
จนเพียงพอที่จะทำให้พฤติกรรมแห่ตามกันนั้นหมุนเวียนต่อไปเรื่อยๆ
แต่แล้วฟองสบู่ที่โตเกินก็จะแตกโพละออก และเมื่อนั้น
ภาษิตโบราณก็จักได้รับการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่ง …
“สิ่งที่คนฉลาดทำในตอนเริ่มต้น คนโง่จะทำมันในท้ายที่สุด”
ณ
วันนี้ คลังทองคำของโลกมีอยู่ประมาณ 170,000 เมตริกตัน
หากเอาทองทั้งหมดมาหลอมรวมกัน
เราจะได้ลูกบาศก์ทองคำที่มีความกว้างยาวลึกด้านละ 68 ฟุต
(เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ขนาดของมันวางลงบนสนามเบสบอลได้พอดิบพอดี) ณ ราคา
1,750 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ ในเวลาที่ผมเขียนบทความนี้
ราคาของทองคำทั้งหมดในโลกจะมีมูลค่ารวมกันเท่ากับ 9.6 ล้านล้านดอลล่าร์
โดยเราจะเรียกสิ่งนี้ว่า “ก้อน A”
เอาล่ะ ทีนี้มาสร้าง “ก้อน B”
กันบ้าง ก้อน B ที่ว่านี้มีราคาเท่ากับก้อน A
แต่เราสามารถใช้มันซื้อไร่นาทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา (จำนวน 400 ล้านเอเคอร์
ทำรายได้รวมกัน 2 แสนล้านเหรียญต่อปี) บวกกับบริษัท Exxon Mobil จำนวน 16
บริษัท (Exxon Mobil คือบริษัทที่ทำกำไรได้มากที่สุดในโลก
โดยสมมุติว่าเรามีบริษัทนี้อยู่ 16 แห่ง แต่ละแห่งทำกำไรได้ปีละ 4
หมื่นล้านเหรียญ) หลังจากซื้อของดังกล่าวแล้ว
เราจะยังเหลือเงินติดตัวไว้ใช้ราวๆ หนึ่งล้านล้านดอลล่าร์
(สมมุติว่าเราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองใช้เงินเกินตัว)
คุณพอจะใช้จินตนาการได้ไหมว่า จะมีนักลงทุนคนไหนในโลกที่มีเงิน 9.6 ล้านล้านดอลล่าร์ แล้วจะเลือกซื้อก้อน A แทนที่จะซื้อก้อน B ?!!
นอก
จากมูลค่าของทองจะถูกประเมินอย่างไม่สมเหตุสมผลแล้ว
ราคาปัจจุบันยังทำให้ตัวมันถูกผลิตขึ้นปีละคิดเป็นมูลค่า 160,000
ล้านดอลล่าร์ ซึ่งผู้ซื้อ
ไม่ว่าจะซื้อเพื่อเป็นเครื่องประดับหรือซื้อไปใช้ในทางอุตสาหกรรม
รวมทั้งคนที่กำลังกลัวและนักเก็งกำไร จะค่อยๆ
รับเอาอุปทานส่วนเพิ่มนี้ไว้เรื่อยๆ ก่อนที่ราคา ณ
ปัจจุบันจะกลายเป็นราคาสมดุลในที่สุด
ในเวลาหนึ่งศตวรรษนับจาก
นี้ ที่ดิน 400 ล้านเอเคอร์จะผลิตข้าวโพด ธัญพืช ค้อตต้อน และพืชผลอื่นๆ
ได้อีกเป็นจำนวนมาก และจะผลิตผลผลิตที่มีคุณค่าเหล่านั้นต่อไป
ไม่ว่าค่าเงินจะเป็นอย่างไรก็ตาม ในขณะที่ Exxon Mobil
จะทำเงินปันผลให้กับเจ้าของอีกนับล้านล้านเหรียญ
และจะเป็นเจ้าของสินทรัพย์มูลค่าหลายล้านล้านเหรียญเช่นกัน
(อย่าลืมว่าคุณมี Exxon อยู่ 16 บริษัท) ในขณะที่ทองคำ 170,000 ตัน
จะไม่เพิ่มปริมาณขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว และไม่สามารถสร้างผลิตผลอะไรใดๆ
ได้ทั้งสิ้น
คุณอาจลูบคลำก้อนทองคำนี้ด้วยความรัก แต่มันจะไม่มีปฏิกริยาตอบสนองใดๆ แน่นอน
ต้อง
ยอมรับว่า เมื่อคนในยุคหนึ่งร้อยปีนับจากนี้รู้สึกกลัว
พวกเขาก็จะยังกระโดดเข้าหาทองคำอยู่นั่นเอง อย่างไรก็ตาม ผมมั่นใจว่า ก้อน A
ที่มีมูลค่า 9.6 ล้านล้านเหรียญ
จะทวีมูลค่าต่อไปในอนาคตในอัตราที่ด้อยกว่าก้อน B อย่างมากเป็นแน่แท้
การ
ลงทุนสองประเภทที่เราได้กล่าวไปจะได้รับความนิยมสูงสุดในเวลาที่ความ
กลัวพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ความหวาดกลัวว่าเศรษฐกิจจะล่มสลาย
ทำให้ผู้คนพากันไปถือสินทรัพย์ที่อิงกับค่าเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
กฎข้อบังคับต่างๆ ของสหรัฐอเมริกาและความกลัวว่าค่าเงินจะล่มสลาย
เป็นสิ่งที่ทำให้คนแห่กันไปหาทรัพย์สินที่เคลื่อนไหวไม่ได้อย่างทองคำมากที่
สุด
เราได้ยินคำว่า “เงินสดคือพระเจ้า” (Cash is King)
ในปี 2008 ซึ่งเป็นเวลาที่เราควรเอาเงินสดออกมาลงทุน ไม่ใช่เก็บไว้
เราได้ยินคำว่า “เงินสดคือขยะ” ในช่วงต้นทศวรรษ 1980
อันเป็นเวลาที่การลงทุนแบบตรึงกับค่าเงินดอลล่าร์อยู่ในระดับที่น่าดึงดูดใน
ที่สุดในความทรงจำ
ในช่วงเวลานั้น นักลงทุนที่จะทำอะไรก็ต้องรอให้ฝูงชนเห็นด้วยเสียก่อน จึงพลาดโอกาสงามๆ ครั้งใหญ่ในชีวิตไป

สำหรับ
ความชอบส่วนตัวของผม ได้แก่ การลงทุนในประเภทที่สาม
ซึ่งคุณก็รู้ว่าคืออะไร นั่นก็คือการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างผลิตผล
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ เรือกสวนไร่นา หรืออสังหาริมทรัพย์ โดยอุดมคติแล้ว
ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้มีศักยภาพที่จะสร้างผลตอบแทนอันทำให้ผู้เป็นเจ้า
ของมันยังคงรักษาอำนาจซื้อไว้ได้แม้ในเวลาที่เกิดภาวะเงินเฟ้อ
โดยมีจำเป็นน้อยมากที่จะต้องเอาทุนใส่เพิ่มเข้าไป
เรือกสวนไร่นา
อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจต่างๆ เช่น โคคาโคล่า ไอบีเอ็ม รวมทั้ง ซีส์
แคนดี ของเรา ได้ผ่านการทดสอบในช่วงที่เงินเฟ้อเป็นเลขสองหลักมาแล้ว
ในขณะที่บริษัทอื่นๆ ก็มีบ้างที่แพ้เงินเฟ้อ
เพราะต้องเอาเงินลงทุนใส่เพิ่มเข้าไปค่อนข้างมากเพื่อจะได้ผลตอบแทนเพิ่ม
ขึ้น เจ้าของสินทรัพย์เหล่านั้นจึงต้องลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้มากขึ้น
แม้กระนั้น
การลงทุนเหล่านี้ก็ยังเหนือกว่าพวกสินทรัพย์ที่ไม่สร้างผลิตผลและสินทรัพย์
ที่อิงกับค่าเงินทั้งหลาย
ไม่ว่าค่าเงินในหนึ่งศตวรรษต่อจากนี้ไปจะ
อิงอยู่กับทองคำ เปลือกหอย ฟันฉลาม หรือกระดาษ
(เหมือนที่เป็นอยู่ในวันนี้)
ผู้คนก็พร้อมที่จะเอาแรงกายของตนเองในแต่ละวันเพื่อแลกกับโคคาโคล่าสัก
กระป๋องหรือถั่วของซีส์
ในอนาคต
ประชากรอเมริกันที่เพิ่มจำนวนขึ้นย่อมจะบริโภคสินค้ามากขึ้น
กินอาหารมากขึ้น และต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้นกว่าทุกวันนี้
ผู้คนย่อมจะแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองผลิตได้กับสิ่งที่คนอื่นผลิตได้ตลอดไป
ธุรกิจในประเทศของเราจะยังคงนำส่งสินค้าและบริการที่เป็นที่ต้องการให้กับ
ประชาชนต่อไป
หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ธุรกิจเหล่านี้ก็คือ
“วัว” ซึ่งจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเป็นร้อยๆ ปี และให้ “นม” เราได้อีกมากมาย
มูลค่าของมันมิได้วัดโดยตัวกลางในการแลกเปลี่ยนใดๆ
แต่วัดจากความสามารถในการผลิตนมของมัน
ยอดขายนมที่เพิ่มขึ้นจะทบต้นเป็นผลประโยชน์ของเจ้าของวัว
เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อศตวรรษที่ 20 ที่ดาวเพิ่มจาก 66 ถึง 11,497
จุด (และให้ปันผลมากมายเช่นกัน)
เป้าหมายของเบิร์คไชร์
คือสะสมธุรกิจชั้นนำเข้ามาในพอร์ทให้มากขึ้น
ทางเลือกแรกของเราคือเป็นเจ้าของมันทั้งหมด แต่อีกทางหนึ่งก็คือ
เป็นเจ้าของโดยถือหุ้นซึ่งซื้อขายเปลี่ยนมือได้ของบริษัทนั้นในสัดส่วนพอ
สมควร
ผมเชื่อว่า เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง
ธุรกิจเหล่านี้จะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็น “ผู้ชนะ”
เหนือกว่าสินทรัพย์ในอีกสองประเภทที่เราได้อรรถาธิบายให้ฟังแล้ว
ที่สำคัญกว่าก็คือ มันจะเป็นการลงทุนที่ ปลอดภัยกว่ามาก
– จบ –
อ้างอิง – นิตยสาร Fortune ฉบับวันที่ 27 ก.พ. 2012
จาก
http://clubvi.com