วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ชะตาชีวิตปีพุทธศักราช 2556 หมอ ภิญโญ พงศ์เจริญ ราศีมังกร

ชาวราศีมังกร
    ท่านที่เกิดระหว่างวันที่ 15 มกราคม-12 กุมภาพันธ์
    ราศีมังกร (CAPRICORN) เป็นราศีที่ 10 แห่งจักรราศี เป็นราศีธาตุดินชนิดจรราศี เป็นราศีแห่งการกระทำ มีความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ เอาจริงเอาจัง รอบคอบ เจ้าระเบียบ ใฝ่รู้ เป็นนักสร้างสรรค์ นักลงทุน นักบุกเบิก และนักปฏิรูป เป็นคนเคร่งเครียดต่อหน้าที่การงานจนทำให้ดูหน้าแก่กว่าวัย มีจิตใจหนักแน่น มีพรรคพวกและเพื่อนฝูงมาก ไม่ชอบเป็นคนเด่นดัง ขี้อายและเจียมตัว จะเป็นหัวหน้าคนได้ก็ต้องมีอายุงานมากจึงทำให้มีตำแหน่งใหญ่โต เป็นคนรักบ้านและครอบครัวดีมาก
    ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 29 พฤษภาคม 2556 เวลา 23.15 น. ดาวพฤหัสบดี (5) เจ้าเรือนสหัชชะ โคจรอยู่ในราศีพฤษภในภพปุตตะ ทำให้พี่น้องเพื่อนฝูงคนใกล้ชิดยอมรับและเชื่อถือเรา คอยดูแลเอาใจใส่เรา ชีวิตสดใสร่าเริงดูมีชีวิตชีวาขึ้น สมองปลอดโปร่งแจ่มใส มีสติปัญญาเฉียบแหลมมั่นคง ดูหน้าตาอ่อนกว่าวัย บริวารจะโชคดีประสบความสำเร็จ ได้ผลประโยชน์มีชื่อเสียงเกียรติยศ มีความคิดริเริ่ม จะได้ริเริ่มโครงการใหม่ๆ มีโครงการอะไรก็ให้ทำไปตามแผนการก็จะประสบกับความสำเร็จ จะได้ใช้วิชาการและเครื่องมือเครื่องใช้ในการอำนวยความสะดวกใหม่ๆ ที่ทันสมัยทางวิชาการ บางคนจะเจอรักแรกพบ จะได้พบคนรักที่สมหวัง เป็นที่เชิดหน้าชูตา มีความรู้ความสามารถ เป็นความรักที่บริสุทธิ์ เกิดขึ้นโดยไม่รู้
    ดาวพฤหัสบดี (5) ในภพ 5 ส่งผลดีในการวิ่งเต้นแสวงหาผลกำไร การลงทุน การเข้าหุ้นส่วน การดำเนินการใดๆ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์มีโอกาสประสบความสำเร็จได้รับความสนุกสนานเบิกบาน สำราญใจ จะได้พบรัก มีความเสน่หา ได้แต่งงาน มีบุตร และมีโชคลาภจากการเสี่ยง
    ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2556 เวลา 23.15 น. ถึงวันสิ้นปี ดาวพฤหัสบดี (5) เจ้าเรือนสหัชชะ โคจรอยู่ในราศีมิถุนเรือนอริ อริ คือ ศัตรู ปัญหา อุปสรรค ความขัดข้อง หนี้สิน โรคภัยไข้เจ็บ มีการปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัย บ้านและที่ดิน ควรดูแลรักษาพ่อแม่ญาติพี่น้องให้ดี มีเรื่องต้องแก้ไขปัญหาในครอบครัว มีการเจรจาตกลงเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจ การเจรจามีปัญหาอุปสรรคถูกเลื่อนออกไป แต่จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในภายหลัง
    ดาวพฤหัสบดี (5) ในภพ 6 สนใจดูแลเอาใจใส่เรื่องสุขภาพอนามัย ทำให้สุขภาพอนามัยแข็งแรง การงาน การประกอบการอุตสาหกรรมจะได้รับผลประโยชน์จากกำไรจากความสำเร็จของผู้น้อย เอเยนต์ตัวแทน คนใช้ ฯลฯ มีการประกอบพิธีกรรมที่สำคัญ มีระเบียบแบบแผน มีพิธีการ มีกิจกรรมต่างๆ ทางด้านศาสนา ได้ติดต่อกับญาติ เช่น ลุงป้าน้าอา สุขภาพอนามัยดีขึ้น
    ตลอดปี เสาร์ (7) ดาวประจำราศีเกิดโคจรในราศีตุลได้มาตรฐานมหาอุจในเรือนการงาน เป็นห้วงเวลาที่สนใจและทุ่มเทเอาใจใส่เรื่องการงานที่รับผิดชอบมากเป็นพิเศษ ประสบความสำเร็จด้านการงาน จะได้ตำแหน่งหน้าที่การงานที่สำคัญ ได้เลื่อนยศเลื่อนขั้นชั้นตำแหน่ง เงินทองจะถูกนำไปลงทุนหรือใช้แก้ปัญหาต่างๆ ที่คั่งค้างเรื่องการงาน มีงานมากขึ้น งานยากๆ หนักๆ ลำบากๆ ประดังเข้ามาให้ทำหลายชิ้น ทำให้เหน็ดเหนื่อยมิใช่น้อย งานแต่ละชิ้นล้วนเป็นงานสำคัญที่ต้องแก้ปัญหาและอุปสรรคทั้งสิ้น มีทั้งงานเก่าๆ และงานใหม่ๆ จะได้เพื่อนหรือหุ้นส่วนที่ถูกใจไว้คอยให้คำปรึกษาหารือ การทำนิติกรรมสัญญาสำคัญเกี่ยวกับการงานจะสำเร็จในไม่ช้า มีรายได้จากผลงานเข้ามาเป็นระยะๆ จึงควรเก็บออมเป็นเงินสดไว้ปรับปรุงการงานเดิมให้ดีขึ้นจะดีกว่านำเงินไปลง ทุนในงานหรือธุรกิจใหม่ที่ไม่แน่นอน
    ส่วนคนที่ยังไม่มีงานทำจะได้ทำงานที่เหมาะสมกับวุฒิภาวะและความถนัด เป็นงานที่ต้องใช้ความคิดจินตนาการการคาดการณ์ และมีความรับผิดชอบสูง ควรหาเวลาว่างไปศึกษาหาความรู้และประสบการณ์เพิ่มเติมบ้าง เงินทองที่มีอยู่ไม่ควรให้ใครหยิบยืมในช่วงนี้ เพราะมีโอกาสที่จะไม่ได้รับการชำระหนี้สูง เนื่องจากการเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต กล้าคิดกล้าทำ ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่จึงถูกใช้ไปเพื่อปรับปรุงกิจการงานและการศึกษาหา ความรู้เพิ่มเติมในระดับที่สูงขึ้น การเงินยังคงแปรปรวน หามาได้มากก็ใช้ไปมาก จึงควรมีความระมัดระวังการใช้จ่ายให้ดี
    ราหู (8) เจ้าเรือนการเงินโคจรในราศีตุลได้มาตรฐานเป็นมหาอุจอยู่เรือนการงาน ทุ่มเทเงินทองในการลงทุนและพัฒนาหน้าที่การงานให้ดีขึ้น ใช้เงินไปกับการทำงาน มีโอกาสได้ใกล้ชิดผู้บังคับบัญชา การงานมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงดีขึ้น จะได้รับการพัฒนา ได้เลื่อนยศเลื่อนขั้นชั้นตำแหน่งใหญ่โต จะได้ตำแหน่งหน้าที่การงานที่สำคัญ ได้ทำงานแปลกๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน มีความรับผิดชอบมากขึ้น มีงานทำมากขึ้น มีบริวารลูกน้องเพิ่มมากขึ้น เกิดความสับสนวุ่นวาย ได้ทำงานกับคนต่างถิ่นต่างแดนต่างชาติต่างภาษา ให้ระวังจะเกิดปัญหาขัดแย้งเกี่ยวกับการทำงาน งานเก่าสะสางไม่เสร็จ งานใหม่ประดังเข้ามาทำให้ปวดหัวเล่น ได้อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัยแต่มีตำหนิ

เก็บมาอ่านราศึตัวเอง  ราศีอื่นตามไปอ่านที่
http://www.thaipost.net/x-cite/010113/67398

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วันที่ถอดตัวกู เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

582412119023501.jpg

เสก สรรค์ ประเสริฐกุล ให้สัมภาษณ์ถึงตัวกูของกูในวันที่ถอดหมวก ทางรายการพื้นที่ชีวิต สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย วันที่ 11 พฤศจิกายน 2553 ตอนวันที่ถอดตัวกู ดำเนินรายการโดยภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : สิ่ง ที่ผู้คนจดจำอาจารย์ได้มากที่ สุด คือภาพการเป็นผู้นำนักศึกษาในยุค 14 ตุลาคม 2516 สิ่งนั้นส่งผลต่อตัวอาจารย์ของอาจารย์ หรือส่งผลต่อตัวกูของกูอย่างไรบ้างครับ

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่มากและมีผลต่อประวัติศาสตร์ของ ประเทศไทย ซึ่งผลกระทบที่มีต่อตัวผม คนหนุ่มคนหนึ่งมันก็มากตามไปด้วย อาจจะเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า defining moment มันสร้างคำนิยามเกี่ยวกับตัวผม เริ่มจากคนอื่นมองผมอย่างไร  จากนั้นผมก็ดูดซับมาเป็นการมองตัวเองว่าผมมีบทบาทเช่นนี้ ควรจะทำสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นการหาผลประโยชน์หรือลาภยศ สรรเสริญ แต่มันลึกไปมากกว่านั้นอีก คือคิดว่าตัวเองมีหน้าที่ในการจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย สร้างประเทศไทยให้เป็นไปตามอุดมคติ แล้วพาผมไปลำบากลำบนในอีกหลายปีต่อมา

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : หลังจากวันนั้นอาจารย์เดินทางเข้าป่าต่อสู้ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศไทย แล้ววันนึงอาจารย์ก็เดินทางออกจากป่า และเขียนไว้ในหนังสือหลายเล่มว่าเป็นเพราะความพ่ายแพ้ ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นมันส่งผลกระทบต่ออัตตาตัวกูของกูของอาจารย์อย่างไรบ้าง ครับ

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : ส่ง ผลมาก เพราะในช่วงแรกเรารู้สึกว่าตัวตนที่เราคิดว่าเป็นของเรา มันหายไป หรือว่าแตกสลาย ยกตัวอย่างเช่น ความเป็นนักรบ ที่ไม่รู้จะไปรบกับใคร ความรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำสิ่งต่างๆ เพื่อประชาชน ก็ไม่มีบทบาทอะไรให้ทำ เพราะตัวเราเองถูกตราไว้แล้วว่าเป็นอดีตผู้ก่อการร้าย ขณะเดียวกัน เราก็ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมที่เราเคยรังเกียจได้ มันก็เลยทำให้ผมต้องออกไปแสวงหาตัวตนใหม่ ไปเยียวยาตัวเองตามป่าเขา หรือท้องทะเลเป็นเวลาหลายปี

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : อาจารย์ใช้ชีวิตอย่างไร ในช่วงที่รู้สึกว่ากำลังแสวงหาตัวตนใหม่ ท่ามกลางความพ่ายแพ้ในสภาวะจิตใจของตัวเอง

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : อันดับแรกเพื่อรักษาสิ่งที่ตัวเองคิดว่าใช่ตัวเอง ก็คือไม่เข้าไปยุ่งกับสังคมมากนัก ไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เราเคยวิจารณ์ หรือกระทั่งเคยประณาม ซึ่งทำให้ผมมีที่เหลือไม่มาก นอกจากเวลาทำงานเขียนหนังสือ สอนหนังสือแล้ว ผมก็เลยใช้ชีวิตอยู่ตามป่าเขา ท้องทะเลค่อนข้างมาก ขณะที่ไปสัมผัสกับป่าเขา ท้องทะเล ก็ได้ความรู้สึกใหม่ๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะความรู้สึกว่ามันมีสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเรามากนัก และบางทีก็เกิดคำถามว่าสิ่งที่เรายึดถือว่าเป็นตัวเองมันอาจเป็นแค่ภาพลวงตา

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : ช่วงนั้นเหมือนตัวตนของอาจารย์ยังไม่ได้สลาย หรือว่าหายไป แต่เหมือนว่ามีเกราะป้องกันตัวมากขึ้น อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกราะเหล่านั้นเริ่มละลายหายไปครับ

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล :  ช่วงนั้นตัวตนไม่ได้สลายไปหรอก แต่ว่ามันคลายความตึงเครียดที่จะยืนยันตัวตนเก่าๆ แล้วเกิดคำถามใหม่ๆ ซึ่งก็ยังมุ่งไปในทิศที่เป็นอัตตาอยู่ คือยังคิดอยู่ว่าชีวิตจะสูงส่งจะดีงามด้วยวิธีใด หนทางไหน จึงจะถูกต้องที่สุดสำหรับตัวเราเอง พอช่วงอายุประมาณ 50 ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เริ่มมองเห็นว่าสิ่งต่างๆ ที่เรายึดถือกันมามันเป็นมายาทั้งนั้น อันที่จริงมนุษย์เรา มันไม่มีตัวตนที่เรายึดถือกัน มันเป็นการปรุงแต่งมาจากหลายปัจจัย เมื่อเราไปยึดถือตรงนั้นแล้ว ก็จะเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ระหว่างเรากับตัวเราเอง ระหว่างเรากับผู้อื่น สุดท้ายมันกลายเป็นความทุกข์ และไอ้ความทุกข์เหล่านี้ ทำให้ผมเริ่มสำนึกตื่นขึ้นมาว่า บางทีอาจจะถึงเวลาต้องวางเรื่องของตัวตนลงไป

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : เป็นด้วยวัย อายุ จังหวะเวลา หรือมีองค์ประกอบอื่นที่เป็นจุดพลิกผัน

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : คงมีองค์ประกอบหลายอย่าง อันดับแรก เราอาจเห็นโลกมาหลายๆ มิติ ซึ่งก็มีวัยเข้ามาเกี่ยวข้อง อันดับต่อมา ก็คือมีเหตุการณ์หลายๆ อย่างในชีวิตที่นำความทุกข์มาให้เราแล้วสั่งสมตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เราคิดว่าถ้ายังฝืนไปตามหนทางเดิมที่จะบอกตัวเองว่าเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ก็จะทำให้เราเผชิญปัญหาในลักษณะที่มุ่งมั่นจะเอาชนะ เอาชนะอุปสรรค เอาชนะความขัดแย้ง เอาชนะตัวเองในเรื่องต่างๆ แต่ถ้าเราวางตัวเองซะแล้ว ประเด็นเหล่านี้จะหายไปหมด เรารู้สึกเบา รู้สึกโล่งขึ้นมา ในช่วงนึงของความทุกข์ ความที่มันทนไม่ไหว ผมเลยพลัดหลงเข้าไปสู่อนัตตาโดยบังเอิญ ก็คือปล่อยวางทุกอย่าง วันนี้ไม่คิดอะไรแล้ว ช่วงแรกอยู่นิ่งๆ ไม่คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร ก็เลยกลายเป็นภาวะภาวนาโดยไม่รู้ตัว มาค้นคว้าภายหลังจึงรู้ว่า นั่นคือที่เรียกว่าภาวนา

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : อะไรคือความทุกข์ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : ความทุกข์ทั้งหมดมาจากความขัดแย้ง ความขัดแย้งกับตัวเอง ความขัดแย้งกับผู้อื่น  ท้ายที่สุดมันนำมาสู่ความขัดแย้งกับตัวเอง ขัดแย้งกับคนใกล้ตัว ในที่สุดก็เกิดการพลัดพราก สิ่งเหล่านี้ มันทำให้ผมต้องหาวิธีตอบคำถามของตัวเองใหม่หมด จนมาพบว่าการจะตอบคำถาม บางครั้งมันจะต้องเปลี่ยนคำถามด้วย คำถามบางอย่างมันตอบไม่ได้เพราะตั้งคำถามไปผิดทาง  เมื่อเราวางคำถามเก่าๆ ทำให้เราค้นพบอะไรใหม่ๆ มากขึ้น

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : อาจารย์ตั้งคำถามใหม่ กับชีวิต กับการพลัดพรากของชีวิตไว้ว่ายังไงบ้างครับ

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : ยกตัวอย่างคำถามเก่าๆ เช่นว่าชีวิตมันมีคุณค่าตรงไหน ชีวิตจะดีงามจะสูงส่งกว่าธรรมดาได้อย่างไร พอวางคำถามเหล่านี้ไป เราก็พบว่าชีวิตไม่ใช่เรื่องแบบนั้น ชีวิตไม่ใช่เรื่องการปรุงว่าอะไรสูงอะไรต่ำ อะไรมีคุณค่า อะไรไร้คุณค่า ชีวิตก็คือชีวิต มันเคลื่อนคล้อยไปตามกฎเกณฑ์ของอนิจจัง เราต้องยอมรับความเป็นจริงตรงนี้ ในภาษาอังกฤษเขาจะใช้ศัพท์ธรรมะว่า surrender ผมคิดว่าพอแปลเป็นไทย อาจจะหมายถึง การมอบตัวให้กับอะไรสักอย่างที่ใหญ่กว่าเรา หรือว่าการยอมต่อกฎเกณฑ์ของความจริงโดยไม่มีข้อกังขา เพราะฉะนั้นมันทำให้เราเผชิญทุกอย่างได้อย่างสงบ ไม่ต้องไปฝืน ไม่ต้องไปต้าน แค่เผชิญทุกอย่างได้อย่างสงบก็เป็นการดับทุกข์ด้วยตัวของมันเองแล้ว

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : อาจารย์เขียนหนังสือเรื่องวันที่ถอดหมวก แล้วอธิบายความหลายอย่าง และมีคนสงสัยว่าอาจารย์ถอดหมวกจริงๆ หรือมีหมวกบางใบที่แอบเก็บเอาไว้สวมใส่

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : ในแง่ติดหลงอยู่กับคำนิยามต่างๆ ของตัวเอง อันนี้ไม่มีเลย ส่วนใหญ่ของชีวิต ผมไม่ค่อยได้คิดว่าผมเป็นใคร ส่วนสังคมจะสมมติให้ผมเป็นอะไร ก็เป็นเรื่องของสังคม แต่ว่าในฐานะของปุถุชนที่ยังไม่ได้บรรลุธรรม ในส่วนที่มันเป็นกิเลส ส่วนที่เป็นตัวตนในลักษณะของโลภ โกรธ หลง ก็ยังเหลืออยู่ โลภอาจจะไม่มากเท่าไหร่ แต่โกรธนี่ยังเหลือพอสมควร หลงนี่อาจจะเหลือน้อยหน่อย สิ่งเหล่านี้จะต้องขัดเกลาต่อไป เพราะเราเริ่มมีสติ เริ่มรู้ทันตัวเองมากขึ้น มันเป็นเส้นทางที่เราตัดสินใจว่าจะเดินไปในทิศทางนี้

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : ทุกวันนี้ อะไรที่กระตุ้น ปลุกเร้าความโกรธของอาจารย์

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : มนุษย์ ผมยังมีโทสะกับคนที่ไม่เคารพกติกา คนที่ข่มเหงรังแกคนอื่น คนที่เอารัดเอาเปรียบคนอื่นในชีวิตประจำวัน ไอ้ตรงนี้มันกระตุ้นผม แต่ว่าโชคดีที่เดี๋ยวนี้โกรธแล้วรู้ตัว คือมันจะโกรธอยู่ได้ไม่กี่วินาที แล้วก็หายไป แต่รู้ว่าเรายังไปไม่ถึงไหน

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : ถ้าเป็นสมัยก่อน เวลาอาจารย์โกรธในความอยุติธรรมทั้งหลาย คนก็อาจจะเห็นภาพอาจารย์ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย หรือเรียกร้องสังคมที่มันดีงาม มีความเสมอภาคมากขึ้น  แต่วันนี้คนถามว่า อาจารย์เสกสรรค์หายไปไหนในตลอด 20-30 ปีที่ผ่านมา

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล :  ผม ไม่ได้หายไปไหน ผมอยู่ตรงนี้ แต่ว่าอยู่ด้วยสายตาที่ต่างจากเดิม ซึ่งในทางธรรมเขาเรียกว่า ผมพยายามที่จะข้ามพ้นทวิภาวะ ข้ามพ้นการจัดโลกให้เป็นขาวล้วนดำล้วน จัดเป็นคู่ขัดแย้งต่างๆ  มันทำให้ผมไม่ไปเลือกข้างในการขัดแย้งทางการเมือง แต่พยายามที่จะมองว่าเขามีประเด็นที่ดีๆ ตรงไหนที่เราเห็นด้วยได้ หรือว่าตรงไหนที่เขาทำไม่ถูกเราก็วิจารณ์ ลักษณะอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าผมไม่มีจุดยืน แต่มันหมายความว่าผมมีจุดยืนอีกแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้นมันอาจจะไม่ถูกใจคนที่เขาเลือกข้างเต็มร้อยในแต่ละสีแต่ละฝ่าย อันที่จริงผมมีความรักความห่วงใยทุกคนทุกฝ่าย แล้วก็พยายามที่จะอดทนกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เรารู้สึกบ่อยครั้งก็ไม่ เป็นธรรมกับเราเท่าไหร่นัก

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : เสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องไหนที่อาจารย์รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมกับอาจารย์ในภาวะแบบนี้ครับ

เสก สรรค์ ประเสริฐกุล : หนึ่งคือในลักษณะว่าไม่เอาใจใส่เรื่องบ้านเมือง ซึ่งไม่จริง เราเอาใจใส่มาตลอด สองคือระยะหลัง ผมถูกหาว่าไปเข้าข้างรัฐบาล ขณะคนที่อยู่ฝ่ายรัฐบาลหลายคนก็หาว่าไปเข้าข้างฝ่ายค้าน สิ่งเหล่านี้ผมไม่ถึงขั้นโกรธ แต่ว่ารู้สึกรำคาญใจ และไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ว่าจุดยืนของเรามันมีจริง แต่ไม่ได้ยืนเหมือนที่เขาจัดขั้วกันอยู่

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : ถ้าอย่างนั้นในภาวะบ้านเมืองแบบนี้ อาจารย์คิดว่าธรรมะข้อไหนจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทย

เสก สรรค์ ประเสริฐกุล :  คิดว่าเป็นธรรมะข้อเดียวกับที่ผมปฏิบัติอยู่ ในเวลานี้ผมไปเป็นคณะกรรมการปฏิรูปฯ ก็พยายามใช้ธรรมะ เริ่มจากขันติ คือรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่แตกต่างจากความคิดของเรา จากนั้นผมก็ใช้หลักของเมตตา กรุณา ที่เชื่อมั่นว่าเรามีกุศลเจตนาในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ สุดท้ายเมื่อวางอุเบกขา ก็คืออะไรที่เราทำได้ก็ทำ อะไรที่เราทำไม่ได้ก็รู้จักสงบจิตสงบใจลง ผมก็เลยทำงานหนักเพิ่มขึ้นมาได้อีกหน่อยนึง หลังจากที่มีงานอื่นๆ อยู่แล้ว ผมคิดว่าหลักธรรมกับการใช้ชีวิต รวมทั้งการเมืองไม่ควรแยกจากกัน

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของชีวิต อาจารย์อยากใช้ชีวิตไปในมิติไหนมากที่สุด

เสก สรรค์ ประเสริฐกุล :  ถ้าเลือกได้ ผมอยากจะปลีกวิเวก ถือสันโดษ ซึ่งที่จริงผมทำมาหลายปี แต่เวลานี้บ้านเมืองมีทุกข์ร้อน ผมก็ต้องกลับมาสู่หลักของการกลับมาช่วยผู้อื่นดับทุกข์ด้วย ตัวเราเองก็จะต้องฝึกแสวงหาความสงบท่ามกลางความสับสน อย่างที่เรียนตั้งแต่ต้นว่าในระหว่างที่ไปทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมือง เราก็ทำเพื่อตัวเองด้วยการปฏิบัติธรรม ใช้หลักธรรมมาทำให้ตัวเองสามารถผ่านความร้อนรุ่มของปัญหาต่างๆ ในแต่ละวันได้ ถือเป็นการเรียนรู้อีกแบบนึงที่มีค่าต่อชีวิตผมเช่นเดียวกัน

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา : อาจารย์ อ่านหนังสือต่างประเทศมา มาก ในต่างประเทศบางทีเมื่อนักเขียนเสียชีวิต เขาจะมีคำจารึกที่หน้าหลุมศพ วันนึงเมื่ออาจารย์ได้จากไป ถ้ามีคนอยากจะเขียนอะไรสักอย่างหนึ่ง หรือโดยความปรารถนาของอาจารย์ อาจารย์อยากให้คำนั้นที่เขียนถึงคืออะไรครับ

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : ขอให้เป็นกิเลสของผู้อื่นก็แล้วกันนะ คุณอย่ามาถามผมถึงเรื่องพวกนี้เลย

เรื่องจาก : http://www.onopen.com/

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ญี่ปุ่นเขามองไทยอย่างไร?

ถ้าเอ่ยถึงประเทศไทย แล้วจะนึกถึงอะไรกันนน

1. วันปีใหม่ไทยน่ะ เรียกว่าอะไรนะ? ไม่ว่าจะสาดน้ำใส่ใครก็ได้ใช่หรือเปล่า (ไม่ค่ะ ทำหน้าดุไว้ก็ไม่โดนสาด)
 
2. เมืองไทยก็มีเกย์เยอะไม่ใช่เหรอ มีโชว์กะเทยด้วย (ก็เพื่อนัีกท่องเที่ยวอย่างพวกคุณน่ะแหละ)
 
3. อยากพูดภาษาไทยได้จัง ตอนนี้คนญี่ปุ่นฮิตเรียนภาษาไทยมากเลย (โอ้ว ดีจายยย)
 
4. ขนมไทยอร่อยและสวยด้วย ลองกินสิ (โอ้ ฝอยทอง... แต่เอามาให้คนไทยกินทำม้ายยย...)
 
5. อาหารไทยเผ็ดไปหน่อย แต่ถึงทำแบบไม่เผ็ดก็อร่อยมากเลยนะ (ไม่เผ็ดไม่ใช่ไทยแท้ค่ะ~*หัวเราะโฮะๆ*)
 
6. ไปเที่ยวไทยแล้ว ซื้อเสื้อเหลืองมา นี่ตราอะไร? สัญลักษณ์ของในหลวงเ้หรอ? ว้าว

112771140
 
7. ทุกคนใส่เสื้อตัวนี้เพื่อเฉลิมฉลองให้ในหลวง? ดีจังน้า เยี่ยมไปเลย

8.  ลองเขียนภาษาไืทยให้ดูหน่อยสิ เริ่มเขียนจากหัวกลมๆ นี่ก่อนเหรอ?

9.  ได้ข่าวว่าประเทศไทยร้อนมาก (แน่นอน)

10.  ภาษาไทยมีการเว้นวรรคระหว่างคำหรือเปล่า? (ไม่มีค่ะ)

11.  ไปเที่ยวไทยแล้วอยากอ่านภาษาไทยออกจัง (มา สอนให้ๆ ด้วยความเต็มใจ)

12. ข้ามถนนที่กทม.อันตรายมาก (ที่เชียงใหม่อันตรายกว่านะ)

13.  ชอบเนะโกะจัมป์ ไอดอลไทยน่ารัก (<<<----ชัดเจน!!)
112771149
14.  มีวันพีซเวอร์ชั่นภาษาไืทยด้วยเหรอ!! (มีจิ)

15. มีลักกี้สตาร์เวอร์ชั่นภาษาไทยด้วยเหรอ!! (มี เคยอ่านด้วย)

16. ทำไมอาหารไทยมันเพ้ดดดดดดดดเผ็ดอย่างนี้ล่ะ (รุ่นพี่โวยหลังจากโดนให้กินข้าวซอยใส่พริกเต็มพิกัด)

17. อยากกินบะหมี่สำเร็จรูปไทย เอาแบบไทยแท้ๆ นะ ไม่เอาที่ผลิตในญี่ปุ่น นั่นมันรสชาติปลอมๆ (แหม ทำเก่ง)

18. แต่ของไทยแท้เผ็ดว่.ะ...(หึ...)

19. ราเม็งของไทยน่ะ มีเครื่องปรุงตรึมเลย (เค้าเรียกก๋วยเตี๋ยวค่ะ ก๋วยเตี๋ยว) 

20. ไก่เหลืองๆ นี่อะไรเหรอ (ไก่สะเต๊ะ)

21. น้ำที่เหมือนกะหรี่กับน้ำใสๆ ใส่แตงกวานี่กินเปล่าๆ เลยรึเปล่า? (กินกะไก่สะเต๊ะดิ...)

22. เผ็ดป่ะ (ไม่เผ็ดเลย)

23. แน่ใจนะ (แน่ใจ ชัวร์)

24. เผ็ด!!! (.........ยังจะเผ็ด)

25.ปีก่อนไปประเทศไทยมา ไปแค่กทม. แต่อยากไปที่อื่นอีก อยากไปอยุธยา

26. อยากไปอยุธยาเพราะชอบวัดล่ะ (เชียงใหม่ก็วัดเยอะนะคะ)

27. อยากไปเชียงใหม่ด้วย ชอบไปวัดน่ะ

28. ชอบไปวัดไทย เพราะให้ความรู้สึกว่าวัดเป็นศูนย์รวมใจของประชาชน เยี่ยม ที่สุดเลย คนญี่ปุ่นน่ะ ไม่ค่อยไปวัดกันหรอก (รุ่นพี่น่ารักจังค่ะ...ถ้าตรงสเป็กกว่านี้อีกนิดก็ว่าจะเสนอสาวไทยให้สัก หน่อย (เอ๊ะ))

29. คนไทยตั้งแต่เกิดก็กินเผ็ดกันเลยรึเปล่า? (แล้วแต่คน)

30.  คำนี้เขียนถูกรึเปล่า อ่านว่าอะไรเหรอ? (ก้มมอง นี่มันคำว่า "เบอร์โทรศัพท์" หนิ... จะเอาไปขอสาวที่ไหน๊)

31.  คนไทยทุกคนเรียนมหาวิทยาลัยเหรอ? (ก็ส่วนใหญ่น่ะนะ ถ้าอยากทำงานบริษัทก็เรียนกันซะมาก)
112771162
32.  สวัสดีค่ะ!! (รุ่นพี่คะ... เป็นผู้ชายต้องพูดครับสิ ไม่ใช่ค่ะ...)
 
33.  สวัสดีแปลว่าอะไรเหรอ (เหมือนการอวยพรให้โชคดี ให้เจริญด้วยค่ะ ไม่ใช่แค่ "ฮาย!")
 
34. โห แปลกดีจัง สุดยอด ไหนลองพูดบ้างซิ สวัสดีๆ (รู้สึกภูมิใจในคำทักทายของบ้านเกิดจริงๆ)
 
35. นี่ๆ ไปซื้อมือถือมาจากมาบุญครองล่ะ มีภาษาไทยด้วย (มีภาษาไทยจริงๆ ด้วย! เอามาทำไมคะ อ่านก็ไม่ออก!)
 
36.  คนไทยเก่งภาษาอังกฤษทุกคนเลยเหรอ (ก็ไม่หรอก...แต่สำหรับคนไทย เสียงภาษาอังกฤษมันออกง่ายน่ะ)
 
37. ตอนนี้ที่เมืองไทยไม่เป็นไรนะ? ที่ประท้วง... (ไม่ใช่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...เป็นมากด้วย)
 
38.  ปีที่แล้วก็มีแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? (ใช่ค่ะ...จะมีทำไมทุกปีเนอะ)
 
39. เค้าบอกว่าคนที่มาประท้วงอ่ะ ทำเป็นงานพิเศษ (.........*ดิฉันขอปี๊บมาคลุมหัวได้ไหมคะ*)
 
40. เพราะสมัยก่อน ลาวเอย เวียดนามเอย มาเลเซียเอย ต่างก็เคยมีสงคราม มีอะไรเพื่อปลดแอกตัวเองกันทั้งนั้น แต่ประเทศไทยไม่มี... ในสายตาคนรอบข้าง เป็นเมืองที่สงบสุขมาก พอเกิดเรื่องนี้ขึ้น ชาวต่างชาติก็ตกใจกันหมด
 
41. เมื่อไหร่สถานการณ์เลวร้ายจะจบลงเสียที อยากไปเที่ยวเมืองไทยจะแย่อยู่แล้ว
 
 

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ค่าตัวของเรา...เท่าไหร่

ค่าตัวของเรา...เท่าไหร่

ต่าย เป็นพนักงานบริษัท ทำงานฝ่ายบุคล และปีนี้เธอเป็นพนักงานดีเด่นของบริษัท วันหนึ่งเธอได้รับมอบหมายให้คำนวณเงินเดือนให้กับพนักงานทั่วไป เธอก็ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายซึ่งเธอทำเป็นประจำทุกเดือนเป็นปกติ และทำเป็น เวลา หลายปีแล้ว แต่มีคนหนึ่งที่เธอไม่เคยคิดที่จะทำเลย

นั่นคือ ตัวเธอเอง

แล้ววันนี้เองเธอก็ลองคิดเล่นๆ เพราะว่าเธอได้รับบางสิ่งบางอย่างที่เพื่อนส่งมาให้ 1 เดือน มี 4 สัปดาห์
1 สัปดาห์มี 7 วัน
1 วันมี 24 ชั่วโมง

กิจวัตรทุกวันที่เธอทำคือ ตึ่นนอน 6.00 น.
เข้าทำงาน 9.00 -17.00 น.
กลับถึงบ้าน 20.00 น. ทำงาน จ-ศ 5 วัน/สัปดาห์
สิ้นเดือนรับเงินเดือน 25,000 บาท (มั่นคงทุกๆเดือน)

วิธีคำนวณ
ทำงานวันละ 8 ช.ม./วัน ( เป็นอย่างน้อย)
ทำงาน 5 วัน/ Wks
เวลาที่ใช้ในการทำงาน 8x5x4 ( ไม่รวมเดินทาง)
เท่ากับ 160 ช.ม./เดือน
เงินเดือน 25,000 บาท/เดือน

25,000 บาท/เดือน เท่ากับ 156.25 บาท/ ช.ม. 160 ช.ม./เดือน
สรุป ชีวิตเธออยู่นอกบ้าน เพื่อทำงานให้คนอื่น
เสียเวลาไปอย่างน้อย 12 ช.ม./ วัน
เพื่อรับเงินเดือน 25,000 บาท ช.ม.ละ 159.25 บาท

คุณทราบไหมคะว่าหลังจากที่เธอคำนวณเสร็จ
เกิดอะไรขึ้นกับเธอ
เธออึ้ง และ น้ำตาไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว
แต่เธอเห็นสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า
ทุกวันนี้ เธอทำงานให้กับนายจ้างฟรีๆ
เพราะค่าตัวเธอถูกกว่า ร้องเท้าที่เธอใส่ด้วยซ้ำ
(199 บาท)

วันรุ่งขึ้นเธอเดินเข้าไปหาผู้จัดการ พร้อมซองขาว
เพราะเธอเข้าใจกับคำว่า
" คุณต้องทำธุรกิจของตัวเอง
ไม่มีใครร่ำรวยจากการทำงานให้คนอื่น"

แล้วคุณล่ะ เคยคิดจะคำนวณค่าตัวของตัวคุณเองบ้างมั้ย

ปาฏิหาริย์....ราคาเท่าไหร่

ปาฏิหาริย์....ราคาเท่าไหร่

เมื่อได้ยินคุณพ่อคุณแม่คุยกันเรื่อง แอนดรูว์น้องชาย
เทสส์ในวัย 8 ขวบ ก็รับรู้ว่าแอนดรูว์กำลังป่วยมาก
และทั้งพ่อแม่ก็ไม่มีเงินเหลือติดตัวเลย
แถมเดือนหน้ายังจะต้องโดนย้ายไปอยู่อพาร์ทเม้นท์
เพราะพ่อหมดปัญญาจ่ายค่าหมอและค่าเช่าบ้านนี้

หนทางเดียวที่จะช่วยชีวิตแอนดรูว์ได้ก็คือ
การผ่าตัดซึ่งต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงมาก
และดูเหมือนว่า
จะไม่มีใครจะมาหยิบยื่นอะไรให้แก่ครอบครัวนี้เลย
แต่เทสส์แอบได้ยินพ่อกระซิบกับแม่ที่มีน้ำตานองว่า
”ในตอนนี้...คงมีเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วย แอนดรูว์ได้”

เทสส์จึงตรงไปยังห้องนอนของเธอ
และหยิบขวดโหลเจลลี่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้
แล้วแม่หนูก็เทเศษสตางค์ทั้งหมดลงบนพื้นห้อง
ค่อยๆ นับ...ถึง 3 ครั้ง ก็ได้จำนวนเท่าเดิม
แล้วบรรจงเก็บใส่ ขวดโหลและปิดฝาตามเดิม
เธอผลุบผลันวิ่งไปไกลถึง 6 บล็อก
เพื่อไปยังร้านขายยา
เทสส์นั่งรอเภสัชกรอย่างอดท
แต่เขาช่างดูยุ่งเสียเหลือเกิน
เธอจึงขยี้เท้าไปมาแต่เสียงนั้นก็ไม่ช่วยอะไรเธอเลย
ลองกระแอมดู แต่ก็ไร้ผลเช่นเคย
ในที่สุด เธอเอาเหรียญ 25 เซนต์ออกมาจากขวดโหล
แล้วเคาะกับเคาน์เตอร์กระจก

ได้การล่ะ.. เภสัชกรหันมาถามด้วยเสียงรำคาญ ๆ ว่า
”หนูจะเอาอะไรเหรอ ฉันกำลังคุยกับน้องชายที่เพิ่งมาจากชิคาโก เราไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว”
เขาพูดต่อโดยมิทันที่จะรอคำตอบจากหนูน้อย

" ค่ะ.. หนูอยากจะคุยเรื่องน้องชายของหนู”
เทสส์ตอบด้วยเสียงเนือยพอกั
“เขาป่วยหนักมากหนูเลยอยากจะมาขอซื้อปาฏิหาริย์”

“อะไรนะ” เภสัชกรถามขึ้น

”เขาชื่อแอนดรูว์ค่ะ หนูรู้แต่ว่าเขามีอะไรก็ไม่รู้อยู่ในหัวใจ ได้ยินพ่อพูดว่า มีเพียงปฏิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วยชีวิต เขาได้ เจ้าปาฏิหาริย์นี้ราคาเท่าไรค่ะ”

"หนู ..เราไม่ได้ขายปาฏิหาริย์หรอก ขอโทษนะฉันช่วยเธอไม่ได้หรอก” เภสัชกร คนเดิมตอบเสียงนุ่มขึ้น

”แต่หนูมีเงินจ่ายนะคะ ถึงมันจะไม่พอ แต่หนูจะเอา
ที่เหลือมาให้อีก เพียงแต่ช่วยบอกหนูหน่อยเถอะว่า
ราคาเท่าไร”

น้องชายของเภสัชกรผู้แต่งตัวภูมิฐานที่นั่งฟังมา
โดยตลอด ก้มลง ถามแม่หนูว่า
“น้องชายของหนูอยากได้ปาฏิหาริย์แบบไหนเหรอ”

”หนูไม่ทราบค่ะ” ถึงตอนนี้น้ำตาเธอเริ่มเอ่อแล้ว
”หนูรู้แต่ว่า เขาป่วยหนักมาก แม่บอกว่า เขาต้องได้รับการผ่าตัดแต่พ่อไม่มีเงินจ่ายค่าหมอ หนูก็เลยอยากใช้เงินของหนูเองค่ะ”

”แล้วหนูมีอยู่เท่าไรล่ะ” ชายจากชิคาโกถามต่อ

"ดอลลาร กับ 11 เซนต์ค่ะ”
เทสส ์ตอบอย่างไม่เต็มเสียง
”มันเป็น เงินเก็บทั้งหมดที่หนูมีอยู่..แต่หนูจะหามาอีก
ถ้าเกิดจะต้องใช้มากกว่านั้น”

"อืมม.. ช่างบังเอิญแท้ๆ” ชายผู้นั้นยิ้ม "1 ดอลลาร์
11เซนต์ ช่างพอเหมาะพอเจาะกับราคาของปาฏิหาริย์
เสียจริง “
เขากำเงินจำนวนนั้นในมือหนึ่ง
อีกมือหนึ่งฉวยถุงมือของแม่หนูพร้อมกับบอกว่า
“เอาละพาฉันไปที่บ้านหน่อย ฉันอยากพบพ่อแม่
ของหนู เราจะมาดูกันว่าฉันจะมีปาฏิหาริย์อย่างที่หนู
ต้องการหรือเปล่า”

แท้ชายภูมิฐานผู้นั้นคือ คุณหมอคาร์ลตัน อาร์มสตรอง ศัลยประสาทแพทย์ผู้เชี่ยวชา
การผ่าตัดเสร็จสมบูรณ์โดยไม่ได้ใช้เงินเลยสักแดง
แอนดรูว์สามารถกลับบ้านได้ภายในเวลาไม่นานนัก ทั้งยังมีสุขภาพแข็งแรงดี

พ่อกับแม่ดูมีความสุขมากที่ได้คุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
”การผ่าตัดนี้..เป็นเหมือนดังปาฏิหาริย์ ฉันสงสัยจังว่า
มันน่าจะต้องใช้เงิน สักเท่าไรนะ” แม่พูดกับตัวเอง

เทสส์ยิ้ม เธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่า
ปาฏิหาริย์นี้มีมูลค่าเท่าไร.. 1 ดอลลาร์ 11 เซนต์..
บวกกับความศรัทธา ของเด็กน้อยคนหนึ่ง
ปาฏิหาริย์มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้กฎธรรมชาติ
หากอยู่เหนือกฎธรรมชาติ

Dare you risk?

Dare you risk?

การหัวเราะ คือ
การเสี่ยงที่จะถูกมองว่าเป็นคนโง่ To laugh is to risk appearing a fool


การร้องไห้ คือ
การเสี่ยงที่จะถูกมองว่าเป็นคนที่อ่อนไหว To weep is to risk appearing sentimental


การเข้าไปหาผู้อื่น คือ
การเสี่ยงที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้อื่น To reach out for another is to risk involvement


การแสดงความรู้สึกให้ผู้อื่นรับรู้ คือ
การเสี่ยงที่จะได้รับคำปฏิเสธ To expose feeling is to risk rejection


การตั้งเป้าหมายต่อหน้าผู้อื่น คือ
การเสี่ยงที่จะถูกหัวเราะเยาะ To place your dreams before the crowd is to risk ridicule


การรักใครสักคน คือ
การเสี่ยงที่จะไม่ได้รับความรักตอบแทน To love is to risk not being loved in return


การก้าวเดินไปหนทางข้างหน้าที่เต็มไปด้วยสิ่งใหม่ๆ คือ
การเสี่ยงที่ต่อความผิดพลาด To go forward in the face of overwhelming odds is to risk failure


แต่เราก็ควรที่จะเสี่ยงในสิ่งต่างๆเหล่านี้ เนื่องจากอันตรายที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตคือการที่ไม่ยอมเสี่ยงสิ่งใดเลย But risks must be taken, because the greatest hazard in life is to risk nothing



บุคคลที่ไม่เสี่ยงสิ่งใดเลย, จะไม่ได้ทำสิ่งใดเลย, จะไม่มีสิ่งใดเลย และ จะไม่ได้เป็นอะไรเลย The person who risks nothing does nothing, has nothing, is nothing


เขาอาจจะหลีกหนีจากความทุกข์ยากและความเศร้าโศกได้ หากแต่ว่าเขาจะไม่ได้เรียนรู้, ไม่ได้รู้สึก, ไม่ได้เปลี่ยนแปลง, ไม่ได้เติบโต และไม่ได้รู้จักความรักเลย
He may avoid suffering and sorrow, but he cannot learn, feel, change, grow or love


เขาจะถูกล่ามโซ่ไว้ เขาจะกลายเป็นทาสให้กับสิ่งที่เขากังวลไม่กล้าเสี่ยงนั้น
Chained by his certitudes, he is a slave


จะมีเพียงแต่บุคคลที่กล้าเสี่ยงเท่านั้น ที่จะมีอิสระทำสิ่งต่างๆได้
Only a person who takes risks is free

ต้นกำเนิดของนาฬิกา

ต้นกำเนิดของนาฬิกา.....

Clock (นาฬิกา)

เดิมทีการบอกเวลาอาศัยปรากฏการณ์จากธรรมชาติ ดังเช่นระยะเวลาหนึ่งวันกำหนดจากการที่โลกหมุนรอบตัวเองครบหนึ่งรอบ โดยสังเกตจากดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากขอบฟ้าด้านตะวันออก เคลื่อนตัวสูงขึ้นสู่ท้องฟ้าเรื่อยๆ จนเลยลับขอบฟ้าด้านกำเนิดตะวันตก แล้วจึงโผล่ขึ้นมาใหม่ เป็นอันครบรอบนับเวลาได้หนึ่งวัน คนสมัยก่อนจึงรู้เวลาด้วยการสังเกตตำแหน่งต่างๆ ของดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า ซึ่งบอกเวลาเช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น ต่อมามนุษย์เริ่มรู้จักประดิษฐ์นาฬิกาขึ้นใช้ เชื่อกันว่านาฬิกาแดดเป็นวิธีจับเวลายุคแรกสุดของโลกแบบหนึ่ง มีใช้มานานกว่า 5,000 ปีแล้วในอียิปต์ เงาของแสงแดดที่ส่องต้องแผ่นโลหะบนหน้าปัด จะเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ รอบหน้าปัดตัวเลขแต่ละชั่วโมง เวลาจะเปลี่ยนไปตามเงาแดดซึ่งเคลื่อนที่นั้น

นาฬิกาแดดเป็นนาฬิกาที่ใช้บอกเวลารุ่นแรกสุด ชาวสุเมเรียนเป็นชนเผ่าหนึ่งที่ใช้นาฬิกาชนิดนี้ โดยจะแบ่งช่วงเวลาออกเป็น 12 ช่วงในหนึ่งวัน ซึ่งแต่ละช่วงจะกินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยใช้วิธีวัดความยาวแสงเงาเป็นมาตรฐานในการวัดระยะเวล

ด้านชาวอียิปต์แบ่งเวลาออกเป็น 12 ช่วงเช่นกัน โดยดูเวลาจากเสาหินแกรนิตที่เรียกว่า “Cleopratra Needles” การดูเวลาจะสังเกตจากความยาวและตำแหน่งเงาที่แสงอาทิตย์ตกกระทบบนพื้นทำกับขีดทั้ง 12 ช่วงเวลาที่แบ่งไว้ เพื่อจะได้ดูว่าช่วงกลางวันเหลือเวลาที่เท่าไร

ส่วนชาวโรมันแบ่งเวลาออกเป็นกลางวัน กลางคืน คอยมีเจ้าหน้าที่ประกาศเท่านั้น ขณะที่ชาวกรีกประดิษฐ์นาฬิกาน้ำ โดยใช้ถ้วยเจาะรูจมลงในโอ่ง เรียกว่า “Clepsydra” ดูการจมของถ้วยเทียบระยะเวลา ชาวกรีกใช้นาฬิกาชนิดนี้ในศาล ต่อมาในปี 250 ก่อนค.ศ. นักปราชญ์อาร์คิมิดิส พัฒนานาฬิกาน้ำนี้ขึ้นโดยเพิ่มตัวควบคุมความเร็ว เขาปรับปรุงนาฬิกชนิดนี้เพื่อใช้งานทางดาราศาสตร์

ต่อมาจึงมีการทำนาฬิกาทรายขึ้น ซึ่งมีลักษณะเป็นแก้วเป่าสองชิ้นมีรูแคบๆกั้นกลาง โดยใช้ทรายเป็นตัวบอกเวลา จัดเป็นนาฬิกาแบบแรกที่ไม่อาศัยปัจจัยดินฟ้าอากาศ มักใช้จับเวลาระยะสั้นๆ เช่นการกล่าวสุนทรพจน์ การบูชา การเฝ้ายาม การทำอาหาร เป็นต้น

สำหรับนาฬิกายุคใหม่ พัฒนาขึ้นช่วง ค.ศ.100-1300 ในยุโรปและในจีน คำว่า “clock” ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่าระฆัง อาศัยหลักการแรงดึงดูดก่อให้เกิดน้ำหนักที่จะเคลื่อนคันบังคับ ซึ่งจะทำให้เข็มนาฬิกาเคลื่อนที่ หอนาฬิกาแห่งแรกในโลกติดตั้งที่มหาวิหารสตร๊าสบวร์กในเยอรมนี ปีค.ศ.1352-54 และปัจจุบันยังใช้งานได้อยู่ ต่อมาในปีค.ศ.1577 จึงมีการประดิษฐ์เข็มนาที และในปี 1656 จึงมีการประดิษฐ์ลูกตุ้มที่ใช้ในนาฬิกาทำให้บอกเวลาเที่ยงตรงยิ่งขึ้น ส่วนนาฬิกาพก ประดิษฐ์ขึ้นโดยนายปีเตอร์ เฮนไลน์ ชาวเมืองนูเรมบวร์ก จากนั้นในปีค.ศ.1962 มีการประดิษฐ์นาฬิกาเชิงอะตอมซีเซียม ใช้ในหอดูดาวกรีนิช ประเทศอังกฤษ ซึ่งถือว่าจับเวลาคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด