วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

บัฟเฟตต์: ทำไม “หุ้น” จึงเหนือกว่า “ทองคำ”

“หุ้น” เหนือกว่า “ทองคำ” และ “พันธบัตร” อย่างไร
warren-himself
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขียน
ชัชวนันท์ สันธิเดช แปล
ผู้คนมักกล่าวว่า การลงทุน คือการกระบวนการในการเอาเงินออกมาบริหาร โดยหวังว่าจะได้รับเงินมากขึ้นในอนาคต
แต่ ที่เบิร์คไชร์ แฮธาเวย์ เราใช้หลักที่เข้มงวดกว่านั้นมาก เราให้คำจำกัดความของ การลงทุน ว่าเป็นการส่งต่ออำนาจซื้อไปสู่ผู้อื่น ด้วยความคาดหวังอย่างมีเหตุผลว่าจะเกิดเป็นอำนาจซื้อที่มากขึ้นในอนาคต หลังจากหักภาษีในอัตราที่น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้
หากจะให้ชี้ชัดยิ่งขึ้น ต้องบอกว่า การลงทุนคือการผัดผ่อนการบริโภค ณ วันนี้ เพื่อให้มีความสามารถที่จะบริโภคได้มากขึ้นในวันข้างหน้า
ด้วย นิยามของเรา จึงก่อให้เกิดผลที่ตามมาอันสำคัญยิ่งประการหนึ่ง กล่าวคือ ความเสี่ยงจากการลงทุน มิอาจวัดได้โดยค่าเบต้า (อันเป็นค่าที่คนในวอลล์สตรีทชอบใช้กัน) หากแต่วัดได้โดยหลักความน่าจะเป็น แต่ต้องเป็น ความน่าจะเป็นอย่างมีเหตุผล ที่ผู้ที่เป็นเจ้าของเงินจะสูญเสียอำนาจซื้อหลังจากถือสินทรัพย์นั้นไประยะ หนึ่ง
ทั้งนี้ ราคาของสินทรัพย์อาจผันผวนขึ้นลงอย่างรุนแรงได้โดยไม่มีความเสี่ยงอันใด หากว่ามันยังคงเพิ่มอำนาจซื้อให้กับผู้ถือสินทรัพย์นั้นอย่างมั่นคงและแน่ นอน หลังจากถือมันไว้ระยะหนึ่ง ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า แม้สินทรัพย์ที่ราคาไม่ผันผวนเลย ก็อาจเต็มไปด้วยความเสี่ยงได้
ความ น่าจะเป็นในการลงทุนนั้นมีอยู่มากมายและหลากหลาย อย่างไรก็ตาม ความน่าจะเป็นดังกล่าวสามารถแบ่งออกได้เป็นสามประเภทหลักๆ ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องเข้าใจคุณลักษณะของความน่าจะเป็นแต่ละประเภท เรามาดูกันเถอะครับ
warren-money
การ ลงทุนต่างๆ ที่อิงกับค่าเงิน เช่น กองทุนตลาดเงิน (Money Market Fund) พันธบัตร การจดจำนอง เงินฝากธนาคาร และอื่นๆ มักถูกเข้าใจว่ามี “ความปลอดภัย” แต่ที่จริงแล้ว พวกมันคือสินทรัพย์ที่อันตรายที่สุด ค่าเบต้าของมันอาจจะเป็นศูนย์ แต่ความเสี่ยงนั้นมากมายเหลือเกิน
ใน ศตวรรษที่ผ่านมา เครื่องมือเหล่านี้ได้ทำลายอำนาจซื้อของนักลงทุนในหลายต่อหลายประเทศ แม้ว่าคนที่ถือมันอยู่จะได้รับผลตอบแทนเป็นระยะๆ ทั้งในรูปของดอกเบี้ยและเงินต้น แต่ผลลัพธ์อันอัปลักษณ์จะยังคงอยู่ตลอดไป
รัฐบาล เป็นผู้กำหนดมูลค่าของเงินตรา แต่ระบบที่เป็นอยู่จะบีบบังคับให้รัฐบาลต้องไหลตามน้ำ โดยใช้นโยบายที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ และมีหลายครั้งหลายหนที่นโยบายเหล่านั้นหลุดออกไปอยู่เหนือความควบคุม
แม้ แต่ในสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ผู้คนคาดหวังว่าค่าเงินน่าจะมีความแข็งแกร่ง เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ก็ยังลดค่าลงถึง 86% ตั้งแต่ปี 1965 ซึ่งเป็นเวลาที่ผมเข้ามาบริหารเบิร์คไชร์ ณ วันนี้ เราต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 7 ดอลล่าร์ เพื่อซื้อสิ่งที่เราเคยซื้อได้ด้วยเงิน 1 ดอลล่าร์ ในเวลานั้น
ด้วย เหตุนี้ กองทุนหรือสถาบันการเงินใดๆ ที่ไม่มีภาระต้องจ่ายภาษี จึงต้องทำดอกเบี้ยให้ได้ถึง 4.3% ต่อปี จากการลงทุนในตั๋วเงินคลังของสหรัฐอเมริกาตลอดระยะเวลาดังกล่าว จึงจะสามารถรักษาอำนาจซื้อของตัวเองไว้ได้ ผู้จัดการของกองทุนหรือสถาบันการเงินเหล่านั้นคงกำลังหลอกตัวเองแน่ๆ ถ้าพวกเขาจะเรียกดอกเบี้ยที่ได้รับว่า “รายได้”
สำหรับนักลงทุนที่ ต้องจ่ายภาษีอย่างคุณและผม ภาพที่เห็นกลับเลวร้ายยิ่งขึ้น ตลอดระยะเวลา 47 ปีที่ผ่านมา ตั๋วเงินคลังของสหรัฐอเมริกาให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.7% ต่อปี ฟังดูแล้วเหมือนจะน่าพอใจ แต่ถ้านักลงทุนแต่ละคนจ่ายภาษีในอัตรา 25% ต่อปี ผลตอบแทน 5.7% นี้ จะทำให้พวกเขาไม่ได้อะไรเลยในแง่ของรายได้ที่แท้จริง
ภาษี เงินได้ที่พวกเขาต้องจ่าย จะกินผลตอบแทนที่ว่าไปถึง 1.4% ในขณะที่ “ภาษีเงินเฟ้อ” ซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จะกัดกินผลตอบแทนอีก 4.3% ที่เหลือจนหมดสิ้น
ที่น่าสังเกตก็คือ ภาษีเงินเฟ้อ มีค่ามากกว่าภาษีเงินได้ธรรมดาที่นักลงทุนคิดว่าเป็นภาระหลักของพวกเขาถึงเกือบ 3 เท่า
ใน ธนบัตรอาจมีคำว่า “เราเชื่อมั่นในพระเจ้า” (In God We Trust) อยู่ก็จริง แต่มือที่ทำให้เครื่องพิมพ์เงินของประเทศเราพิมพ์ธนบัตรออกมานั้น เป็นมือของคนเดินดินธรรมดาๆ นี่เอง
แน่นอนว่าอัตราดอกเบี้ย สูงๆ จะช่วยชดเชยความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่เกิดจากการลงทุนซึ่งอิงกับค่าเงินได้ และอัตราดอกเบี้ยในทศวรรษที่ 80 ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน ไม่สามารถที่จะครอบคลุมความเสี่ยงจากการสูญเสียอำนาจซื้อดังกล่าวได้เลยแม้ แต่น้อย ที่จริงแล้ว พันธบัตรควรมีฉลากคำเตือนให้ระวังอันตรายแปะอยู่ด้วยซ้ำ
ภายใต้ สภาวการณ์ทุกวันนี้ ผมจึงไม่ชอบการลงทุนใดๆ ที่อิงกับค่าเงิน อย่างไรก็ตาม เบิร์คไชร์ ฮาแธเวย์ ก็ยังมีการลงทุนเหล่านั้นอยู่พอสมควรในรูปแบบของการลงทุนระยะสั้นต่างๆ สำหรับ เบิร์คไชร์ สภาพคล่องจำนวนมหาศาลถือเป็นหัวใจสำคัญ และเป็นสิ่งที่เรา ไม่มีทาง จะละเลย
เราจำเป็นต้องมองข้ามอัตราผลตอบ แทนที่ไม่เพียงพอนั้น เพื่อคงไว้ซึ่งสภาพคล่องมหาศาล เราจึงถือตั๋วเงินคลัง ซึ่งเป็นการลงทุนประเภทเดียวที่พอจะไว้วางใจได้ในเรื่องของสภาพคล่อง ภายใต้สภาวะทางเศรษฐกิจที่แสนจะสับสนอลหม่านดังเช่นในปัจจุบัน บนหน้าตักของเราในเวลานี้มีอยู่ราวๆ 2 หมื่นล้านดอลล่าร์ และอย่างน้อยที่สุดต้องมี 1 หมื่นล้านดอลล่าร์สำรองไว้เสมอ
นอกเหนือ จากความจำเป็นในเรื่องของสภาพคล่องและกฎระเบียบต่างๆ แล้ว เราจะซื้อหลักทรัพย์ที่อิงกับค่าเงินก็ต่อเมื่อมีโอกาสที่มันจะให้ผลตอบแทน ในระดับที่สูงผิดปกติเท่านั้น เช่น เมื่อมีการตั้งราคาสินเชื่อผิดๆ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในช่วงเวลาของวิกฤตการเงิน จนเกิดเป็นพันธบัตรขยะ (Junk Bonds) มากมาย หรือเมื่ออัตราดอกเบี้ยนั้นสูง จนเราสามารถที่จะทำกำไรจากพันธบัตรชั้นดีได้ในเวลาที่อัตราดอกเบี้ยนั้นลดลง
แม้ ว่าในอดีต เราจะเคยศึกษาถึงโอกาสที่ทั้งสองเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น และอาจทำการศึกษาซ้ำอีกในอนาคต แต่ตอนนี้ เราแทบไม่เห็นว่าความคาดหวังดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้เลย
ณ วันนี้ ความเห็นของ เชลบี้ คัลลอม คนในวอลล์สตรีทที่เคยพูดเอาไว้เมื่อนานมาแล้วดูเหมือนจะเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน “พันธบัตรที่เชื่อกันว่าให้ผลตอบแทนโดยไม่มีความเสี่ยง กำลังถูกตั้งราคาราวกับมันเป็นสิ่งที่ให้ความเสี่ยงโดยไม่มีผลตอบแทน”
การ ลงทุนอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องของสินทรัพย์ที่ไม่มีวันจะทำให้เกิดผลิตผลอะไรขึ้นมาได้เลย แต่ผู้คนกลับชอบที่จะซื้อหา เนื่องจากผู้ซื้อมีความหวังว่าใครสักคน ซึ่งย่อมรู้เช่นเดียวกันว่าสินทรัพย์ชนิดนี้จะไม่มีวันทำให้เกิดประโยชน์โพด ผลใดๆ จักยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่าเพื่อซื้อมัน อาทิเช่น ดอกทิวลิป ซึ่งได้กลายเป็นสินค้ายอดนิยมของผู้คนในศตวรรษที่ 17
การลงทุนจำพวก นี้ ต้องมีกลุ่มของผู้ซื้อที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยผู้ซื้อถูกล่อให้แห่กันเข้ามาด้วยความเชื่อที่ว่ากลุ่มของคนที่เป็นแบบ พวกเขาจะขยายตัวต่อไปอีก
ผู้ถือสินทรัพย์ชนิดนี้มิได้มีแรง บันดาลใจว่าตัวสินทรัพย์ที่พวก เขาถือจะสร้างผลผลิตใดๆ ทั้งยังรู้ดีกว่าสินทรัพย์นั้นจะยังคงไร้ชีวิตตลอดไป พวกเขาเพียงหวังว่าคนอื่นๆ จะปรารถนามันมากยิ่งขึ้นในอนาคต
warren-gold
ใน บรรดาสินทรัพย์จำพวกนี้ อันดับหนึ่งคือ “ทองคำ” ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของนักลงทุนที่กลัวสินทรัพย์อื่นๆ แทบจะทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินกระดาษ (อันที่จริง สินทรัพย์หลายชนิดก็มีเหตุผลควรที่สมควรจะกลัวอยู่)
อย่างไร ก็ตาม ทองคำมีจุดอ่อนอยู่สองประการ คือ ตัวมันเองเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ ทั้งยังไม่ทำให้เกิดผลิตผลอะไรขึ้นมาได้เลย จริงอยู่ที่ทองคำมีประโยชน์ในแง่ของอุตสาหกรรมและใช้เป็นเครื่องประดับได้ แต่อุปสงค์ในแง่ดังกล่าวมีอยู่จำกัด และไม่สามารถทำให้ทองเพิ่มปริมาณขึ้นได้
ถ้าคุณมีทองคำหนึ่งออนซ์ ทองคำนั้นย่อมมีปริมาณหนึ่งออนซ์เท่าเดิมตราบจนชั่วกัลปาวสาน
สิ่ง สำคัญที่ดึงดูดแฟนพันธุ์แท้ทองคำคือความเชื่อที่ว่า ผู้คนจะเกิดความกลัวในสินทรัพย์อื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ความเชื่อดังกล่าวก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง
ยิ่งไป กว่านั้น ราคาที่สูงขึ้นของทองคำก็ยิ่งทำให้คนมีความกระตือรือร้นอยากจะซื้อมัน จนดึงดูดให้ผู้ลงทุนเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของราคาทองเป็นไปตามข้อสรุปทางการ ลงทุนที่สมเหตุสมผลแล้ว
นักลงทุนที่ชอบแห่ตามกันไม่ว่าจะเป็นการลงทุนประเภทไหน มักจะสร้างความจริงของตัวเองขึ้นมาเสมอ อย่างน้อยก็ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ใน ช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ทั้งหุ้นอินเทอร์เน็ตและบ้านได้แสดงให้เห็นถึงภาวะความเฟ้อเกินไป อันเป็นผลมาจากการผสมผสานกันระหว่างข้อสรุปที่มีเหตุผลกับราคาที่เกินกว่า เหตุ
ในภาวะฟองสบู่ มหาชนที่เคยลังเลสงสัย มักยอมศิโรราบต่อ “ข้อพิสูจน์” ที่ตลาด “จัดให้” และกลุ่มของผู้ซื้อก็จะขยายตัวออกไปอย่างใหญ่หลวง จนเพียงพอที่จะทำให้พฤติกรรมแห่ตามกันนั้นหมุนเวียนต่อไปเรื่อยๆ แต่แล้วฟองสบู่ที่โตเกินก็จะแตกโพละออก และเมื่อนั้น ภาษิตโบราณก็จักได้รับการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่ง …
“สิ่งที่คนฉลาดทำในตอนเริ่มต้น คนโง่จะทำมันในท้ายที่สุด”
ณ วันนี้ คลังทองคำของโลกมีอยู่ประมาณ 170,000 เมตริกตัน หากเอาทองทั้งหมดมาหลอมรวมกัน เราจะได้ลูกบาศก์ทองคำที่มีความกว้างยาวลึกด้านละ 68 ฟุต (เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ขนาดของมันวางลงบนสนามเบสบอลได้พอดิบพอดี) ณ ราคา 1,750 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ ในเวลาที่ผมเขียนบทความนี้ ราคาของทองคำทั้งหมดในโลกจะมีมูลค่ารวมกันเท่ากับ 9.6 ล้านล้านดอลล่าร์ โดยเราจะเรียกสิ่งนี้ว่า “ก้อน A”
เอาล่ะ ทีนี้มาสร้าง “ก้อน B” กันบ้าง ก้อน B ที่ว่านี้มีราคาเท่ากับก้อน A แต่เราสามารถใช้มันซื้อไร่นาทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา (จำนวน 400 ล้านเอเคอร์ ทำรายได้รวมกัน 2 แสนล้านเหรียญต่อปี) บวกกับบริษัท Exxon Mobil จำนวน 16 บริษัท (Exxon Mobil คือบริษัทที่ทำกำไรได้มากที่สุดในโลก โดยสมมุติว่าเรามีบริษัทนี้อยู่ 16 แห่ง แต่ละแห่งทำกำไรได้ปีละ 4 หมื่นล้านเหรียญ) หลังจากซื้อของดังกล่าวแล้ว เราจะยังเหลือเงินติดตัวไว้ใช้ราวๆ หนึ่งล้านล้านดอลล่าร์ (สมมุติว่าเราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองใช้เงินเกินตัว)
คุณพอจะใช้จินตนาการได้ไหมว่า จะมีนักลงทุนคนไหนในโลกที่มีเงิน 9.6 ล้านล้านดอลล่าร์ แล้วจะเลือกซื้อก้อน A แทนที่จะซื้อก้อน B ?!!
นอก จากมูลค่าของทองจะถูกประเมินอย่างไม่สมเหตุสมผลแล้ว ราคาปัจจุบันยังทำให้ตัวมันถูกผลิตขึ้นปีละคิดเป็นมูลค่า 160,000 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งผู้ซื้อ ไม่ว่าจะซื้อเพื่อเป็นเครื่องประดับหรือซื้อไปใช้ในทางอุตสาหกรรม รวมทั้งคนที่กำลังกลัวและนักเก็งกำไร จะค่อยๆ รับเอาอุปทานส่วนเพิ่มนี้ไว้เรื่อยๆ ก่อนที่ราคา ณ ปัจจุบันจะกลายเป็นราคาสมดุลในที่สุด
ในเวลาหนึ่งศตวรรษนับจาก นี้ ที่ดิน 400 ล้านเอเคอร์จะผลิตข้าวโพด ธัญพืช ค้อตต้อน และพืชผลอื่นๆ ได้อีกเป็นจำนวนมาก และจะผลิตผลผลิตที่มีคุณค่าเหล่านั้นต่อไป ไม่ว่าค่าเงินจะเป็นอย่างไรก็ตาม ในขณะที่ Exxon Mobil จะทำเงินปันผลให้กับเจ้าของอีกนับล้านล้านเหรียญ และจะเป็นเจ้าของสินทรัพย์มูลค่าหลายล้านล้านเหรียญเช่นกัน (อย่าลืมว่าคุณมี Exxon อยู่ 16 บริษัท) ในขณะที่ทองคำ 170,000 ตัน จะไม่เพิ่มปริมาณขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว และไม่สามารถสร้างผลิตผลอะไรใดๆ ได้ทั้งสิ้น
คุณอาจลูบคลำก้อนทองคำนี้ด้วยความรัก แต่มันจะไม่มีปฏิกริยาตอบสนองใดๆ แน่นอน
ต้อง ยอมรับว่า เมื่อคนในยุคหนึ่งร้อยปีนับจากนี้รู้สึกกลัว พวกเขาก็จะยังกระโดดเข้าหาทองคำอยู่นั่นเอง อย่างไรก็ตาม ผมมั่นใจว่า ก้อน A ที่มีมูลค่า 9.6 ล้านล้านเหรียญ จะทวีมูลค่าต่อไปในอนาคตในอัตราที่ด้อยกว่าก้อน B อย่างมากเป็นแน่แท้
การ ลงทุนสองประเภทที่เราได้กล่าวไปจะได้รับความนิยมสูงสุดในเวลาที่ความ กลัวพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ความหวาดกลัวว่าเศรษฐกิจจะล่มสลาย ทำให้ผู้คนพากันไปถือสินทรัพย์ที่อิงกับค่าเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎข้อบังคับต่างๆ ของสหรัฐอเมริกาและความกลัวว่าค่าเงินจะล่มสลาย เป็นสิ่งที่ทำให้คนแห่กันไปหาทรัพย์สินที่เคลื่อนไหวไม่ได้อย่างทองคำมากที่ สุด
เราได้ยินคำว่า “เงินสดคือพระเจ้า” (Cash is King) ในปี 2008 ซึ่งเป็นเวลาที่เราควรเอาเงินสดออกมาลงทุน ไม่ใช่เก็บไว้ เราได้ยินคำว่า “เงินสดคือขยะ” ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 อันเป็นเวลาที่การลงทุนแบบตรึงกับค่าเงินดอลล่าร์อยู่ในระดับที่น่าดึงดูดใน ที่สุดในความทรงจำ
ในช่วงเวลานั้น นักลงทุนที่จะทำอะไรก็ต้องรอให้ฝูงชนเห็นด้วยเสียก่อน จึงพลาดโอกาสงามๆ ครั้งใหญ่ในชีวิตไป
warren-bond
สำหรับ ความชอบส่วนตัวของผม ได้แก่ การลงทุนในประเภทที่สาม ซึ่งคุณก็รู้ว่าคืออะไร นั่นก็คือการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างผลิตผล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ เรือกสวนไร่นา หรืออสังหาริมทรัพย์ โดยอุดมคติแล้ว ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้มีศักยภาพที่จะสร้างผลตอบแทนอันทำให้ผู้เป็นเจ้า ของมันยังคงรักษาอำนาจซื้อไว้ได้แม้ในเวลาที่เกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยมีจำเป็นน้อยมากที่จะต้องเอาทุนใส่เพิ่มเข้าไป
เรือกสวนไร่นา อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจต่างๆ เช่น โคคาโคล่า ไอบีเอ็ม รวมทั้ง ซีส์ แคนดี ของเรา ได้ผ่านการทดสอบในช่วงที่เงินเฟ้อเป็นเลขสองหลักมาแล้ว ในขณะที่บริษัทอื่นๆ ก็มีบ้างที่แพ้เงินเฟ้อ เพราะต้องเอาเงินลงทุนใส่เพิ่มเข้าไปค่อนข้างมากเพื่อจะได้ผลตอบแทนเพิ่ม ขึ้น เจ้าของสินทรัพย์เหล่านั้นจึงต้องลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้มากขึ้น แม้กระนั้น การลงทุนเหล่านี้ก็ยังเหนือกว่าพวกสินทรัพย์ที่ไม่สร้างผลิตผลและสินทรัพย์ ที่อิงกับค่าเงินทั้งหลาย
ไม่ว่าค่าเงินในหนึ่งศตวรรษต่อจากนี้ไปจะ อิงอยู่กับทองคำ เปลือกหอย ฟันฉลาม หรือกระดาษ (เหมือนที่เป็นอยู่ในวันนี้) ผู้คนก็พร้อมที่จะเอาแรงกายของตนเองในแต่ละวันเพื่อแลกกับโคคาโคล่าสัก กระป๋องหรือถั่วของซีส์
ในอนาคต ประชากรอเมริกันที่เพิ่มจำนวนขึ้นย่อมจะบริโภคสินค้ามากขึ้น กินอาหารมากขึ้น และต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้นกว่าทุกวันนี้ ผู้คนย่อมจะแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองผลิตได้กับสิ่งที่คนอื่นผลิตได้ตลอดไป ธุรกิจในประเทศของเราจะยังคงนำส่งสินค้าและบริการที่เป็นที่ต้องการให้กับ ประชาชนต่อไป
หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ธุรกิจเหล่านี้ก็คือ “วัว” ซึ่งจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเป็นร้อยๆ ปี และให้ “นม” เราได้อีกมากมาย มูลค่าของมันมิได้วัดโดยตัวกลางในการแลกเปลี่ยนใดๆ แต่วัดจากความสามารถในการผลิตนมของมัน ยอดขายนมที่เพิ่มขึ้นจะทบต้นเป็นผลประโยชน์ของเจ้าของวัว เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อศตวรรษที่ 20 ที่ดาวเพิ่มจาก 66 ถึง 11,497 จุด (และให้ปันผลมากมายเช่นกัน)
เป้าหมายของเบิร์คไชร์ คือสะสมธุรกิจชั้นนำเข้ามาในพอร์ทให้มากขึ้น ทางเลือกแรกของเราคือเป็นเจ้าของมันทั้งหมด แต่อีกทางหนึ่งก็คือ เป็นเจ้าของโดยถือหุ้นซึ่งซื้อขายเปลี่ยนมือได้ของบริษัทนั้นในสัดส่วนพอ สมควร
ผมเชื่อว่า เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ธุรกิจเหล่านี้จะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็น “ผู้ชนะ” เหนือกว่าสินทรัพย์ในอีกสองประเภทที่เราได้อรรถาธิบายให้ฟังแล้ว ที่สำคัญกว่าก็คือ มันจะเป็นการลงทุนที่ ปลอดภัยกว่ามาก
– จบ –
อ้างอิง – นิตยสาร Fortune ฉบับวันที่ 27 ก.พ. 2012
จาก  http://clubvi.com

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

30 คำคมชวนคิดจากนักเดินทาง

30 คำคมชวนคิดจากนักเดินทาง

          นัก เดินทางทุกคนมักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การเดินทางเป็นการเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด และแม้ว่าจะใช้เวลาทั้งชีวิตทุ่มเทกับมันอย่างไร ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการไปเยือนในทุก ๆ ที่ และเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น การเดินทางไปเยือนที่ต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ใครหลายคนอยากจะทำ ด้วยเหตุผลที่ว่า มันคือการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เป็นการเรียนรู้ที่ดีที่สุด ที่ทำให้ชีวิตดูมีคุณค่าขึ้นมาอีกเยอะ

          วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็ขอนำคำคมจากนักเดินทางทั่วโลกมาฝากกันอีกครั้ง เพื่อแบ่งปันความคิดและมุมมองที่พวกเขามีต่อการเดินทาง ซึ่งมันอาจจะพอเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเดินทางสมัครเล่นทั้งหลาย ได้เห็นความสำคัญของการเดินทาง เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องสนุก และไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ชีวิตว่างเปล่าเลยจริง ๆ


"The world is a book and those
who do not travel read only one page."
– St. Augustine
โลกใบนี้เปรียบเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง และคนที่ไม่เคยเดินทางเลย
ก็เปรียบเหมือนคนที่อ่านหนังสือเพียงหน้าเดียว






"All travel has its advantages.
If the passenger visits better countries,
he may learn to improve his own.
And if fortune carries him to worse,
he may learn to enjoy it."
Samuel Johnson
ทุก ๆ การเดินทางมีข้อดีของมัน
หากเราเดินทางไปยังประเทศที่ดีกว่า
เราอาจได้เรียนรู้ว่าจะพัฒนาประเทศของตัวเองอย่างไร
แต่ถ้าหากเราเดินทางไปยังที่ที่เลวร้ายกว่า
เราก็อาจได้เรียนรู้ว่าจะอยู่กับมันอย่างมีความสุขได้อย่างไร






"All journeys have secret destinations of
which the traveler is unaware."
– Martin Buber
ทุกการเดินทางมีจุดหมายปลายทางซ่อนอยู่
จุดหมายที่นักเดินทางไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย






"A good traveler has no fixed plans, and is not intent on arriving." – Lao Tzu
นักเดินทางที่ดีย่อมไม่มีแผนการเดินทางที่แน่นอน และไม่ได้ตั้งใจที่จะไปถึง





"Travelers never think that they are the foreigners." – Mason Cooley
นักเดินทางที่แท้จริงไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนต่างถิ่น




"We live in a wonderful world that is full of beauty,
charm and adventure. There is no end to the adventures
we can have if only we seek them with our eyes open."
– Jawaharal Nehru
เราอยู่ในโลกอันน่าประหลาดใจที่เต็มไปด้วยความงดงาม เสน่ห์ 
และการผจญภัยมากมาย ไม่มีคำว่าสิ้นสุดสำหรับการผจญภัยที่เราสัมผัสมันได้ 
ถ้าเพียงเราเปิดดวงตาค้นหาความงดงามเหล่านั้น





"Decide how you want to feel,
and go wherever it takes to feel that way."
– Andy Hayes
จงถามตัวเองว่าอยากมีความรู้สึกอย่างไร 
และไปเหยียบยืนในที่ทำให้คุณรู้สึกแบบนั้นได้

30 คำคมชวนคิดจากนักเดินทาง


"When one realizes that his life is worthless he
either commits suicide or travels."
– Edward Dahlberg
เมื่อใครสักคนรู้สึกว่าชีวิตตัวเองไร้ค่า เขามักเลือกทางเดินอยู่ 2 ทาง
นั่นคือถ้าไม่ฆ่าตัวตาย ก็ออกเดินทางท่องเที่ยว




"Don't tell me how educated you are,
tell me how much you have traveled."
– Mohammed
ไม่ต้องบอกผมหรอกว่าคุณได้รับการศึกษามาอย่างไร
บอกผมแค่ว่าคุณเดินทางมามากเท่าไหร่ก็พอ





"A journey is like marriage. The certain way 
to be wrong is to think you control it." – John Steinbeck
การเดินทางก็เหมือนกับชีวิตคู่ 
หนทางที่จะทำให้มันล้มเหลวได้ก็คือการคิดที่จะบังคับมัน





"When you’re traveling,
you are what you are right there and then.
People don’t have your past to hold against you.
No yesterdays on the road."
– William Least Heat Moon
เมื่อคุณกำลังเดินทางท่องเที่ยว
คุณคือตัวคุณ ณ ที่นั้น และ ณ ช่วงเวลานั้น
ผู้คนรอบข้างไม่มีใครรู้อดีตของคุณและตำหนิคุณไม่ได้
ไม่มีคำว่า "เมื่อวาน" บนถนนคนเดินทางหรอก






"No one realizes how beautiful it is to travel until he comes home and
rests his head on his old familiar pillow."
– Lin Yutang
ไม่มีใครรู้ว่าการเดินทางนั้นสวยงามอย่างไร
จนกระทั่งได้กลับมาที่บ้านและนอนหนุนหมอนใบเก่าที่คุ้นเคย


30 คำคมชวนคิดจากนักเดินทาง


"A traveler without observation is a bird without wings." – Moslih Eddin Saadi
นักเดินทางที่ไร้ซึ่งการสังเกต ก็เหมือนนกที่ไม่มีปีกบิน





"Tourists don’t know where they’ve been,
travelers don’t know where they’re going."
– Paul Theroux
"นักท่องเที่ยว" จะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน  
แต่ "นักเดินทาง" จะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปไหน





"A journey of a thousand miles must begin with a single step." – Lao Tzu
การเดินทางนับพันไมล์ ต้องเริ่มต้นทีละก้าว





"A journey is best measured in friends, rather than miles."
จำนวนเพื่อนวัดคุณค่าของการเดินทางได้ดีกว่าจำนวนระยะทาง





"Half the fun of travel is the esthetic of lostness." – Ray Bradbury
ครึ่งหนึ่งของความสนุกในการเดินทาง คือความงดงามของการหลงทาง





"The whole object of travel is not to 
set foot on foreign land;
it is at last to set foot on one's own 
country as a foreign land." – G.K. Chesterton
เป้าหมายทั้งหมดของการเดินทาง ไม่ใช่การฝากรอยเท้าไว้ในต่างแดน
แต่ที่สุดแล้ว มันคือการฝากรอยเท้าไว้ในประเทศตัวเอง เหมือนกับมันเป็นต่างแดนต่างหาก






"There is no moment of delight in any pilgrimage
like the beginning of it."
– Charles Dudley Warner
สำหรับนักเดินทางไกลแล้ว ไม่มีช่วงเวลาใดจะสุขใจเท่ากับการเริ่มต้นออกเดินทาง




"If somebody asked me about my inspiration
I would say that it's not the people and it's not the things,
it's travel and experiencing different environments."
– Marc Newson
หากใครสักคนถามถึงแรงบันดาลใจของผม ผมจะตอบว่า 
มันไม่ได้มาจากผู้คนหรือสิ่งต่าง ๆ  แต่มันมาจากการเดินทางท่องเที่ยว 
และการสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างต่างหาก





"Remember that happiness is a way
of travel – not a destination."
– Roy M. Goodman
โปรดจำไว้ว่า ความสุขของการเดินทางเกิดขึ้นระหว่างทางที่ไป ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง





"A child on a farm sees a plane fly overhead 
and dreams of a faraway place.
A traveler on the plane 
sees the farmhouse… 
and thinks of home." – Carl Burns.

เด็ก ๆ ในไร่มองเครื่องบินบนฟ้าแล้วนึกฝันถึงที่ที่ไกลโพ้น แต่กลับกัน 
นักเดินทางที่อยู่บนเครื่องบินนั้นกลับมองมายังบ้านไร่ แล้วคิดถึงบ้านของตัวเอง





"We are all travelers in the wilderness of this world,
and the best we can find in our travels
is an honest friend."
– Robert Louis Stevenson
เราต่างก็เป็นนักเดินทางในความว่างเปล่าของโลกใบนี้
และสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถค้นพบได้จากการเดินทางก็คือ.. เพื่อนที่จริงใจ






"The earth belongs to anyone who stops for a moment,
gazes and goes on his way."
– Colette
โลกใบนี้เป็นของคนที่หยุดเดินแล้วมองดูสิ่งรอบข้าง และเดินต่อไปตามทางของตัวเอง


30 คำคมชวนคิดจากนักเดินทาง


"He who does not travel does not know the value of men." – Moorish proverb
คนที่ไม่เดินทางท่องเที่ยว.. ไม่รู้คุณค่าของชีวิต





"The true traveler is he who goes on foot,
and even then, he sits down a lot of the time."
– Colette
นักเดินทางที่แท้จริงคือนักเดินทางที่เดินเท้า
และจากนั้นพวกเขาก็นั่งลงในที่ต่าง ๆ นับครั้งไม่ถ้วน





"A man travels the world over in search of what he needs,
and returns home to find it."
– George Moore
คนเราเดินทางไปทั่วโลกเพื่อหาคำตอบว่าตัวเองต้องการอะไร
แล้วกลับบ้านไปเพื่อค้นพบสิ่งนั้น





"To awaken alone in a strange town is one of the pleasantest
sensations in the world."
– Freya Stark
การตื่นขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยวในต่างถิ่น เป็นความตื่นเต้นที่สนุกที่สุดในโลก





"The real voyage of discovery consists not in seeking
new landscapes but in having new eyes."
– Marcel Proust
การเดินทางเพื่อเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การค้นหาทิวทัศน์ใหม่ ๆ
แต่คือการมองสิ่งเหล่านั้นในมุมมองใหม่ ๆ ด้วย






"The world is a country which nobody ever yet knew
by description; one must travel through
it one’s self to be acquainted with it."
– Lord Chesterfield
โลกนี้คือดินแดนที่ไม่มีใครรู้จักมันได้จากการบอกเล่า
แต่คนเราจะต้องเดินทางท่องเที่ยวไปเพื่อทำความรู้จักกับมันด้วยตัวเอง



วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556

อาบน้ำตามแบบโบราณ สุขภาพดีผิวใส...ไร้สิว ลดไขมันตกค้างในลำไส้...


เคยได้ยินไหมครับว่า
"เพิ่งกินข้าวเสร็จอย่าเพิ่งอาบน้ำ"
เพราะอาหารจะไม่ย่อย
คนโบราณรู้อะไรที่เราไม่รู้...

เพราะกระเพาะต้องใช้เลือดในการย่อยอย่างมาก
หากไปอาบน้ำ เลือดจะวิ่งมาที่ผิว
ไม่ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร
ท้องก็จะอืด...สุดท้ายก็เน่าใน(เพราะการย่อยไม่สมบูรณ์ อาหารที่เหลือไปหมักหมมที่ลำไส้)

เมื่อเริ่มกินอาหารแล้ว..อย่าเพิ่งอาบน้ำ

วิธีการอาบน้ำที่ดีแต่โบราณก็คือ

ตอนเช้าให้อาบน้ำเย็น...เพื่อให้ร่างกายสดชื่น
และควรอาบก่อนกินอาหารเช้าด้วย
ส่วนตอนเย็นให้อาบน้ำอุ่น
ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย
หลับสบาย

ความเครียดจากกิจกรรม
ระหว่างวันจะถูกระบายออกไปทางรูขุมขน
ไม่เก็บกักไว้ในหัวใจ

"หากความเครียด เก็บกักไว้ในหัวใจ" จะทำให้เป็นคนนอนหลับยาก ตื่นเช้ามาก็จะเพลีย นอนไม่อื่ม

แต่ถ้าตอนเช้าหากไปอาบน้ำอุ่น
ก็จะทำให้เลือดถูกดึงมาที่ผิวมาก
และระบายออกทางรูขุมขนที่เปิด
เสียพลังงานแต่เช้า
จะรู้สึกไม่สดชื่นแต่กลับผ่อนคลาย
ไม่อยากทำอะไร
ซึ่งจริงๆ แล้วในตอนเช้า
เป็นเวลาที่กระเพาะทำงานได้สูงสุด
ย่อยอาหารได้สูงที่สุด
ดังนั้นพวกนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะกินอาหาร
แล้วย่อยยาก ท้องอืด
มีอาการเพลียหลังกินข้าว
ต้องกินกาแฟ ตามลงไปจึงทำให้รู้สึกตื่นขึ้น
สุดท้ายก็ติดกาแฟอีกด้วย
อาหารที่ย่อยไม่หมด จะเน่าที่ภายในลำไส้
ก่อให้เกิดสิวฝ้า เพราะของเสียต้องถูกระบายออกทางรูขุมขน

ควรอาบน้ำเย็นในยามเช้าแทน(อุณหภูมิที่ทนได้
ไม่จำเป็นต้องมาจากตู้เย็น
แต่อาบแล้วรู้สึกเย็น) เพื่อจะช่วยให้รูขุมขนปิด
พลังชี่ถูกเก็บไว้ในกาย
พร้อมกับทำงานได้ตลอดทั้งวั
สังเกตได้เลยว่าจะรู้สึกมีกำลังมากขึ้น
ไม่อ่อนเพลีย


ขอเพิ่มเติมนะครับ
เทคนิคช่วยทำให้หน้าเด้ง...
คือในยามเช้า
ให้เอาน้ำเย็น(เจี๊ยบ)มาล้างหน้า...
(ในสมัยก่อน น้ำฝนในตุ่มก็เย็นชื่นใจแล้วครับ แต่ในเมืองจีน น้ำเย็นถึงใจเลย ส่วนยุคเรา แนะนำให้เอามาจากตู้เย็นเลยครับ)
เนื่องจากที่ใบหน้าเป็นเส้นลมปราณหยางทั้งหมด
ลองเอาน้ำเย็นมาล้างดู จะรู้สึกอุ่น
และสดชื่น เลือดมาเลี้ยงเยอะขึ้น
ผิวหน้าจะไม่หย่อนยานง่าย
บางคนจะเกิดปรากฎการณ์ "อมชมพู"
โดยมิได้คาดหมาย
ดวงตาจะสดใส เปล่งประกาย
ลองทำดูครับ

ร้อนให้ถูกเวลา...
เย็นให้ถูกเวลา...

"ความรู้โบราณ อายุนับพันปี
ถ่ายทอดผ่านร้อยชั่วคน
แต่บางคน...ชั่วชีวิต กลับมิเคยได้รู้..."
 

โดย ผีเสื้อหน้าหยก

เคล็ดลับจากศาสตร์โบราณ เพื่อคนยุคใหม่
Facebook คันฉ่องสุขภาพ

ขอบคุณรูปจาก
http://www.jujusalon.com/blog/hot-showers-bad-for-skin/

วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556

เฟซบุ๊กช่วยให้คนมีความสุข


ถ้าหากท่านรู้สึกทุกข์ใจ เฟซบุ๊กช่วยได้ ซึ่งก็น่าแปลกที่ผลจากการศึกษา คนที่ใช้เวลาอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์นานมักไม่ดี

 ถ้า หากท่านรู้สึกทุกข์ใจ เฟซบุ๊กช่วยได้ ซึ่งก็น่าแปลกที่ผลจากการศึกษา คนที่ใช้เวลาอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์นานมักไม่ดี แต่เฟซบุ๊กกลับช่วยคลายทุกข์ได้

การศึกษาชิ้นใหม่แนะนำว่าการ ใช้เวลากับออนไลน์ ถ้าหากมีเพื่อนจำนวนนับร้อย ๆ คน มีการส่งข่าวคราวให้ทราบกันตลอดเวลามีรูปถ่ายกิจกรรมต่าง ๆ จะช่วยให้ผู้ใช้เวลาอยู่กับคอมพิวเตอร์ออนไลน์มีความสุขขึ้นมาได้

นัก วิจัยแห่งมหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกา ซึ่งศึกษาเรื่องนี้ได้กล่าวว่าเฟซบุ๊กเป็นที่ที่พวกเรามักจะพยายามทำให้ตน เองดูดีที่สุด ในหน้าเฟซบุ๊ก ซึ่งก็ทำให้อัตตา (Ego) ของตนเองสูงขึ้น

รอง ศาสตราจารย์ เจฟฟรี แฮนค็อกได้กล่าวว่า “เฟซบุ๊กไม่เหมือนกระจกส่องหน้า ซึ่งกระจกเงาจะช่วยให้เรารู้ว่าเราจริง ๆ เป็นใคร ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความไม่สบายใจได้ ถ้าหากภาพของเราที่ปรากฏต่อหน้าไม่เหมือนกับที่เราตั้งใจหรือวาดฝันไว้ เช่นอาจจะไม่สวยไม่หล่อดังที่คิดไว้”

“แต่เฟซบุ๊กมีแต่สิ่ง ที่ดี ๆ ของเราใส่เข้าไปข้างในให้เพื่อน ๆ ได้ดู เราไม่ได้หลอกตัวเองหรอกและก็ไม่ได้โกหกใครหากแต่เราโชว์เฉพาะสิ่งที่เป็น บวกเอาไว้เท่านั้น”

รองศาสตราจารย์ เจฟฟรี แฮนค็อกเป็นผู้เขียนบทรายงานชื่อ “กระจก กระจกที่แขวนไว้บนฝาผนังเฟซบุ๊ก” ซึ่งได้ลงตีพิมพ์ในวารสารจิตวิทยาไซเบอร์ พฤติกรรมและบริการเครือข่ายสังคม ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้เอง ล่าสุดในบทรายงานได้ทำการทดสอบกับนักศึกษาจำนวน 63 คน ซึ่งได้ถูกปล่อยให้อยู่กับคอมพิวเตอร์ในห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยฯ คอมพิวเตอร์นี้เปิดใช้งานอยู่แต่ไม่ได้โชว์หน้าเฟซบุ๊กโดยตรง คอมพิวเตอร์อีกส่วนหนึ่งซึ่งปิดไว้อยู่นั้นจะมีกระจกส่องหน้าอยู่ที่สกรีน แทน

นักศึกษากลุ่มที่อยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นให้เข้าไป ใช้เฟซบุ๊กได้เพียง 3 นาทีเท่านั้นที่จะทบทวนดูแลตนเองและคุยกับเพื่อนในเฟซบุ๊ก หลังจากนั้นนักศึกษาก็จะได้รับกระดาษเพื่อตอบคำถามเพื่อวัดความพึงพอใจและ ความสุขของตนเอง

ผลปรากฏว่านักศึกษาที่อยู่กับเฟซบุ๊ก รู้สึกพึงพอใจและมีความสุขกับตนเองมากกว่านักศึกษาอีก 2 กลุ่มที่เข้าไปในเฟซ บุ๊กและเข้าไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขประวัติสิ่งที่อยากจะบอกเรื่องตนเองให้กับผู้ อื่น ได้รับคะแนนความสุขสูงสุด

ทางรองศาสตราจารย์ เจฟฟรี แฮนค็อก ได้กล่าวเสริมว่า “สำหรับหลาย ๆ คนที่ตั้งข้อสมมุติฐานโดยอัตโนมัติว่าอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งที่ไม่ดีนั้น งานวิจัยชิ้นนี้คือตัวอย่างแรกที่แสดงให้เห็นว่า เฟซบุ๊กมีประโยชน์ในด้านจิตวิทยา”

แต่อย่างไรก็ตามแหล่งข่าว ระบุว่าในกลุ่มนักจิตวิทยาก็ยังมีอีกส่วนที่เห็น ตรงข้าม คือ เด็กบางคนอาจจะถูกนำไปในพฤติกรรมทางไม่ดีได้เหมือนกัน โดยที่จะใส่พฤติกรรมที่ไม่ดีของตนเอง เข้าไปในเฟซบุ๊กด้วย

แต่ก็หวังว่างานวิจัยชิ้นนี้คงจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากเฟซบุ๊กเสียละ.


รศ.ดร.บุญมาก ศิริเนาวกุล
อธิการบดี มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด
boonmark@stamford.edu

ที่มา : www.dailynews.co.th

HOLIDAY


HOLIDAY

SCORPIONS


INTRO  :  Dm  C  Bb  A  ( 4 time  )


Dm
let  me  take  you  far  away

               C          A    Dm

you'd  like  a  holiday


Dm
let  me  take  you  far  away

              C           A     Dm

you'd  like  a  holiday


                    C                                    Dm
sine  the  cold  days  part  the  sun

           G                           A

the  good  time  and  fun


Dm       
let  me  take  you  far  away

              C         A   Dm

tou'd  like  a  holiday


Dm
let  me  take  you  far  away

             C          A    Dm

tou'd  like  a  holiday


Dm       
let  me  take  you  far  away

             C          A   Dm

tou'd  like  a  holiday


       C                                                 Dm
it  sends  you  trouble  for  so  long

      G                 A

wherever  you  are


Dm       
let  me  take  you  far  away

             C          A   Dm

tou'd  like  a  holiday


  Dm                   C                Bb              A
ooh  ah.....ha.....ah.....ha.....ah.....ha.....ah

                               Dm 

longin.  for  the   sun    you  will  came 


                 C                              Bb
to  the  island  away  with  me

                             Dm                  

longin  for  the  sun  he  will  come


                   C                                                Bb    Dm
on  the  island  many  miles  away  from  home

                Dm                        C                 Bb

he  will  come  on  the  island  with  me


                           Dm
longin,  for  the  sun  you  will  come

                              C                         Bb               Dm

to  the  island  many  miles  away  from  home.....


                       Dm   C   Bb
away  from  home.....

                       Dm   C   Bb

away  from  home.....


                       Dm   C   Bb
away  from  home.....

ฮานี้บ่าเฮ้ย


ฮานี้บ่าเฮ้ย

คำร้อง/ทำนอง/ขับร้อง    จรัล มโนเพ็ชร


Intro E/C#m/A/Am/B7


       E           F#m             E            F#m

 แต่งงานด้วยกันเสียที        อ้ายนี้  ท่ามาจ๊าดเมิน

                  A        Am      B7        E   C#m  A  Am  B7

 ฮักสาวเหลือเกิน  ไปหาเงินเสียก่อน   ต่อนยอน


       E             F#m               E          F#m

 สาวสาว  อ้ายคนจนจน        บ่มีรถยนต์ขี่ควาย

                A            Am      B7         E   C#m  A  Am  B7

 น้องเห็นใจอ้าย   ไปขายควายเสียก่อน  ต่อนยอน


         E            F#m                  E                 F#m

 ขายควายได้เงินสามพัน        แจ่มจันทร์  อ้ายเหลือแต่วัว

              A                Am     B7       E   C#m  A  Am  B7

 ไถนาสองตัว     ไปขายวัวเสียก่อน  ต่อนยอน


       E          F#m                     E         F#m

 ขายวัวได้เจ็ดปันป๋าย        เสียดายบ่ได้ไถนา

             A                     Am     B7        E   C#m  A  Am  B7

 น้องคงบ่ว่า      ไปขายนาเสียก่อน  ต่อนยอน


       E           F#m                 E            F#m

 ขายนาสำเร็จเสร็จดี        บ่มีแล้วเหลือแต่ตัว

            A         Am     B7        E     C#m  A  Am  B7

 เขารู้กันทั่ว      ไปขายตัวเสียก่อน  ต่อนยอน              ฮานี้บ่าเฮ้ย

ตรวจเช็คเบอร์โทรศัพท์มือถือ ว่าคนที่เราจะโทรไปหา ใช้เครือข่ายอะไร


ตรวจเช็คเบอร์โทรศัพท์มือถือ ว่าคนที่เราจะโทรไปหา ใช้เครือข่ายอะไร ตรวจเช็คโดย

เครื่อง ระบบ AIS กด *727*ตามด้วยเบอร์โทรศัพท์มือถือสิบหลัก# แล้วกดปุ่มโทรออก

เครื่อง ระบบ DTAC กด *102*ตามด้วยเบอร์โทรศัพท์มือถือสิบหลัก# แล้วกดปุ่มโทรออก

เครื่อง ระบบ True Move กด *933*ตามด้วยเบอร์โทรศัพท์มือถือสิบหลัก# แล้วกดปุ่มโทรออก

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

17 คำสอนขององค์ทะไลลามะ สำหรับมนุษย์งาน

17 คำสอนขององค์ทะไลลามะ สำหรับมนุษย์งาน

1. คิดไว้เสมอว่า ‘หวังในความสำเร็จมาก ก็เสี่ยงที่จะสูญเสียมาก’

2. ยามใดที่แพ้ ให้นำสิ่งที่แพ้มาเป็นบทเรียน

3. กฎ 3 อาร์น่าคิด Respect for self คือเคารพตัวเอง, Respect for others เคารพผู้อื่น และ Responsibility คือรับผิดชอบในทุกๆ การกระทำของตน

4. บางครั้งการที่มาเอาตัวไปข้องเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองอยากได้ใคร่มีมากเกินไป ก็อาจทำให้คุณได้ในสิ่งนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ

5. เรียนรู้กฎให้ละเอียดถ่องแท้ เผื่อว่าคุณอาจหาทางแหกกฎได้อย่างถูกวิธี

6. อย่าให้ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ มาทำลายมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่

7. เมื่อใดที่รู้สึกว่าทำผิด ให้รีบแก้ไขให้ถูกต้อง

8. ใช้เวลาอยู่กับตัวเองในทุกๆ วัน

9. อ้าแขนให้กว้างเพื่อรับสิ่งท้าทายในชีวิต และเมื่อใดที่มีสิ่งล้ำค่าเข้ามา ก็อย่าปล่อยมันไป

10. จงจำไว้ว่าบางครั้ง ความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับบางเรื่อง

11. ใช้ชีวิตให้ดีอย่างคนมีเกียรติ เพราะเมื่อตอนเราแก่ตัวลง จะได้มองย้อนกลับไปในอดีตอย่างมีความสุข

12. บรรยากาศในบ้านแสนสุขเป็นพื้นฐานที่ดีของการดำรงชีวิต

13. เมื่อไม่เห็นด้วยกับคนที่เราแคร์ในบางเรื่อง ให้ทะเลาะกันได้เฉพาะในปัญหาปัจจุบัน อย่าขุดคุ้ยเรื่องอดีต

14. มีความรู้อะไรก็ให้รู้จักแบ่งปัน เพราะความรู้เป็นสิ่งที่ไม่มีวันตาย (ตัวตายแต่ชื่อยัง ถ้าสร้างชื่อเสียงในทางที่ดี)

15. รู้จักรักและเคารพโลก

16. ในแต่ละปี ให้เดินทางไปในที่ที่คุณยังไม่เคยไปมาก่อน

17. ประเมินความสำเร็จในสิ่งที่คุณไม่เคยทำสำเร็จ เพื่อจะได้มุ่งมั่นทำมันให้สำเร็จ

10 วิธี ดูแลฮาร์ดดิสก์

10 วิธี ดูแลฮาร์ดดิสก์
จากนิตยสาร Chip

โปรแกรม ที่คุณใช้งานอยู่เป็นประจำทำงานช้าลงหรือเปล่า? หรือพีซีอายุใช้งาน 4 เดือนของคุณมีอาการงอแงหรือไม่? ต่อไปนี้คือวิธีการแก้ปัญหาและเพิ่มความเร็วให้กับฮาร์ดดิสก์ตัวเก่งของคุณ

การ เป็นเจ้าของและใช้งานฮาร์ดดิสก์โดยไม่เคยสแกนตรวจสอบก็เหมือนกับการมีรถยนต์ คันหรูที่เอาแต่ขับอย่างเดียวไม่เคยเข้าศูนย์บริการ ซึ่งทิปต่อไปนี้สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องลงแรงมากนัก เพียงแค่เจียดเวลาสักนิดในการปฏิบัติตาม ทั้งนี้ก็เพื่อให้ฮาร์ดดิสก์ของคุณกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนใหม่และทำงานได้ อย่างเต็มประสิทธิภาพ

1. สแกนหาไวรัส

จัดเป็นข้อควร ปฏิบัติที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆ ที่คุณควรให้ความสำคัญและหมั่นทำเป็นประจำ เราคงไม่ต้องบอกคุณแล้วว่าไวรัสในปัจจุบันนั้นมีฤทธิ์เดชร้ายแรงแค่ไหน เอาเป็นว่าให้คุณลองนึกถึงตอนที่ไฟล์ข้อมูลสำคัญในฮาร์ดดิสก์ถูกทำลายหรือ เสียหายเพียงแค่เพราะว่าคุณไม่ได้ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสเอาไว้ใน เครื่อง หรือใครที่ติดตั้งเอาไว้แล้วก็ไม่ควรชะล่าใจ ลองตรวจสอบวันที่ของฐานข้อมูลไวรัส (Virus Definition) ถ้าเก่าเกินกว่า 30 วันก็ควรรีบทำการอัพเดตให้เป็นเวอร์ชันปัจจุบันเพื่อการป้องกันที่เต็ม ประสิทธิภาพ จากนั้นทำการสแกนฮาร์ดดิสก์ทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ในระบบ ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้กำหนดตารางเวลาในการสแกนเป็นประจำทุกสัปดาห์


2. ปัดกวาดไฟล์หรือขยะที่ไม่ได้ใช้

ยิ่ง ใช้งานเครื่องมานานเท่าใด ไฟล์ข้อมูลเก่าๆ หรือขยะในเครื่องก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ข้อมูลเก่า โปรแกรมเก่า ไฟล์ชั่วคราวที่หลงเหลือจากการท่องอินเทอร์เน็ตรวมทั้งไฟล์ที่ตกค้างจากการ ติดตั้งโปรแกรมในโฟลเดอร์เก็บไฟล์ชั่วคราวของวินโดว์ส ซึ่งวิธีการง่ายๆ ในการกำจัดไฟล์ขยะเหล่านี้ก็คือการใช้ยูทิลิตี้ Disk Cleanup ของวินโดว์สหรือจากออปชันทำความสะอาดไฟล์ในโปรแกรม IE โดยตรง (Tools -> Internet Options)
3. กำจัดขยะในซอกหลืบ

แม้ว่าคุณจะทำ การลบไฟล์ขยะด้วยตัวเองไปแล้ว แต่ก็ยังอาจมีเศษขยะที่มองไม่เห็นตกค้างอยู่ในฮาร์ดดิสก์ของคุณอีกมากมาย โดยเศษขยะในที่นี้หมายรวมถึงบรรดาสปายแวร์หรือแอดแวร์ต่างๆ ด้วย ซึ่งวิธีการตรวจสอบหาขยะเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เครื่องมือพิเศษคือโปรแกรม อย่างเช่น Ad-aware หรือ Spybot Search & Destroy ที่หาดาวน์โหลดได้ฟรีจากอินเทอร์เน็ต ที่สำคัญคืออย่าลืมอัพเดตฐานข้อมูลให้กับโปรแกรมดังกล่าวก่อนเริ่มทำการสแกน ระบบด้วย


4. หมั่นใช้สแกนดิสก์

เมื่อใดก็ตามที่ พื้นที่เก็บข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เกิดบกพร่องเสียหาย เรามักจะใช้คำแทนจุดบกพร่องนั้นๆ ว่า “Bad Sector” ซึ่งมีความหมายว่าบริเวณพื้นผิวของจานแม่เหล็กเกิดความเสียหายจนไม่สามารถทำ การอ่านข้อมูลได้ ซึ่งวิธีการแก้ไขนั้นคือการใช้ยูทิลิตี้ Scandisk ของวินโดว์สในการตรวจสอบหาจุดที่เกิด Bad Sector และย้ายข้อมูลที่อยู่ในบริเวณนั้นๆ ไปยังเซกเตอร์อื่นๆ ที่ปกติทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของไฟล์ข้อมูล โดยในหน้าต่างยูทิลิตี้ Scandisk นั้นให้คุณเลือกออปชัน Scan for and attempt recovery of bad sectors ด้วยก่อนเริ่มทำการสแกน นอกจากนี้หากคุณใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 98/Me แนะนำให้ปิดการทำงานของสกรีนเซฟเวอร์ก่อนเริ่ม Scandisk ด้วย
5. จัดเรียงข้อมูลให้เป็นระเบียบ
โปรแกรม Defragmenter ที่ไม่ต้องเสียเวลาหาให้ไกลเพราะมีอยู่ในวินโดว์สทุกเวอร์ชันแล้วนั้นจะช่วย ในการจัดเรียงข้อมูลที่ถูกเขียนลงฮาร์ดดิสก์อย่างสะเปะสะปะให้มีระเบียบและ เป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้หัวอ่านฮาร์ดดิสก์ไม่ต้องทำงานหนักและใช้เวลาในการอ่าน ข้อมูลสั้นลง และโปรดอย่าเข้าใจผิดคิดว่าโปรแกรมจะจับไฟล์ในโฟลเดอร์ของคุณไปสลับสับ เปลี่ยนหรือเรียงไว้ในโฟลเดอร์อื่นๆ จนหาไม่เจอ เพราะการ Defrag นั้นจะทำการจัดเรียงไฟล์ข้อมูลบนดิสก์เท่านั้นไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างการ เก็บไฟล์ในวินโดว์สแต่อย่างใด

6. เก็บทุกอย่างให้เข้าที่

ขั้น ตอนนี้จะเรียกว่าเป็นวินัยส่วนตัวก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นลิ้นชักตู้เสื้อผ้าหรือฮาร์ดดิสก์ก็ล้วนต้องการระบบ ระเบียบในการจัดเก็บที่ดีด้วยกันทั้งนั้น ฟังดูอาจเป็นงานที่น่าเบื่อ แต่ถ้าฝึกให้เป็นนิสัยตั้งแต่แรกก็แทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย ส่วนใครที่ยังเก็บไฟล์ทุกชนิดทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสารเวิร์ด ไฟล์รูปภาพ ไฟล์วิดีโอ ไฟล์เพลง ฯลฯ ปนกันมั่วไว้ในโฟลเดอร์เดียวกัน เตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องปวดหัวในการค้นหาไฟล์เมื่อต้องการใช้งานให้ดี แต่ถ้าไม่อยาก ... ก็สละเวลาจัดการจัดไฟล์ลงโฟลเดอร์ให้เรียบร้อยเสียตั้งแต่วันนี้
7. แบ็กอัพข้อมูล

ไม่ มีฮาร์ดดิสก์รุ่นไหน ยี่ห้อใด ที่จะมีอายุยืนยาวอยู่กับคุณไปตลอดกาล แต่ถึงแม้ในที่สุดฮาร์ดดิสก์ของคุณจะหมดอายุขัย ก็ไม่ได้หมายความว่าข้อมูลทั้งหมดที่เก็บอยู่ในนั้นจะสูญหายไปด้วย เพียงแต่สิ่งที่คุณควรต้องหมั่นทำเป็นกิจวัตรก็คือการแบ็กอัพไฟล์ข้อมูล สำคัญๆ เก็บไว้ในฟล๊อบปี้ดิสก์ แผ่นซีดี ดีวีดี หรืออื่นๆ ที่ไม่ใช่ฮาร์ดดิสก์ตัวที่ใช้งานอยู่ หรือถ้าที่กล่าวมานั้นมันยุ่งยากหรือทำให้คุณลำบากเกินไป แนะนำให้ใช้ทัมป์ไดรฟ์ที่ปัจจุบันมีราคาแสนถูก และถ้าไม่ลำบากเงินในกระเป๋าจนเกินไปเลือกรุ่นที่จุ 128MB ขึ้นไปจะดีมาก

8. เทขยะอย่าให้เหลือไฟล์ตกค้าง

เมื่อ คุณกดปุ่ม Delete เพื่อลบไฟล์ ซึ่งในทางปฏิบัติดูเหมือนว่าไฟล์ข้อมูลของคุณจะถูกลบออกไป แต่ในทางทฤษฎีนั้นไฟล์ของคุณจะยังไม่ถูกลบออกไปจริงๆ เพียงแต่วินโดว์สจะทำเครื่องหมายไว้ในพื้นที่ส่วนนั้นๆ ว่าเป็นที่ว่างและเมื่อใดที่มีการเขียนไฟล์ข้อมูลก็สามารถเขียนทับตำแหน่ง นั้นๆ ได้ นอกจากนี้วินโดว์สจะนำไฟล์ที่คุณลบไปใส่ไว้ในถังขยะ (Recycle Bin) เผื่อกรณีที่คุณเกิดเปลี่ยนใจหรือตัดสินใจพลาด หากใครช่างสังเกตจะพบว่าแม้จะลบไฟล์ข้อมูลไปแล้วแต่พื้นที่ว่างในอาร์ดดิสก์ นั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ทั้งนี้ก็เพราะข้อมูลนั้นๆ ยังนอนรอชะตากรรมอยู่ในถังขยะ (Recycle Bin) นั่นเอง ดังนั้นหากคุณมั่นใจว่าไม่ใช้งานแล้ว หรือไม่ต้องการให้ใครมาแอบคุ้ยถังขยะเอาข้อมูลส่วนตัวของคุณไป แนะให้คลิกขวาที่ไอคอน Recycle Bin แล้วเลือกคำสั่ง Empty Recycle Bin เพื่อกำจัดขยะในถังให้สิ้นซาก
9. แบ่งพาร์ทิชันเพื่อเก็บข้อมูล
ฮาร์ดดิสก์ โดยทั่วไปที่ออกมาจากโรงงานนั้นจะไม่มีการแบ่งพาร์ทิชันเอาไว้ หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือซื้อ 80GB ก็จะได้ไดรฟ์ C: ความจุ 80GB มาใช้งาน แต่ถ้าจะให้ดี แนะนำให้คุณทำการแบ่งฮาร์ดดิสก์ออกเป็นส่วนๆ หรือที่เรียกว่าการแบ่งพาร์ทิชันนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ฮาร์ดดิสก์ 80GB นำมาแบ่งเป็น 2 พาร์ทิชัน พาร์ทิชันละ 40GB ซึ่งคุณก็จะได้ไดรฟ์มาใช้งาน 2 ไดรฟ์คือไดรฟ์ C: และไดรฟ์ D: ซึ่งการแบ่งพาร์ทิชันนอกจากจะช่วยลดภาระของหัวอ่านและเพิ่มความเร็วในการทำ งานของฮาร์ดดิสก์แล้ว คุณยังสามารถแยกไฟล์สำคัญๆ มาเก็บไว้ในไดรฟ์แยกต่างหากจากไดรฟ์ที่ติดตั้งวินโดว์สซึ่งอาจโดนไวรัสเล่น งานจนเสียหายได้อีกด้วย ซึ่งการแบ่งพาร์ทิชันนั้นคุณสามารถทำได้ในขณะที่ติดตั้ง Windows XP เลย แต่ถ้าไม่ได้ทำก็ไม่เป็นไรเพราะปัจจุบันมีโปรแกรมสำหรับการนี้มากมายซึ่งที่ นิยมใช้กันมากที่สุดได้แก่โปรแกรม Partition Magic

10. เลือกความเร็วให้เหมาะกับงาน

วิธี การที่ผ่านมานั้นสามารถช่วยให้ฮาร์ดดิสก์ของคุณสามารถทำงานได้เร็วขึ้นได้ อีกเล็กน้อย อย่างไรก็ดี หากคุณกำลังมองหาหรือตัดสินใจซื้อฮาร์ดดิสก์ใหม่ แนะนำให้พิจารณาเลือกรุ่นความเร็วที่เหมาะสมกับลักษณะงานที่คุณต้องการใช้ งาน เช่น เลือกรุ่นที่มีความเร็วในการหมุนจานแม่เหล็ก 5,400 RPM (รอบ/นาที) ที่มีราคาถูกถ้าคุณใช้เพียงโปรแกรมทั่วๆ ไปเช่น เล่นอินเทอร์เน็ต รับ-ส่งอีเมล์ หรือพิมพ์งานด้วยโปรแกรมเวิร์ด หรือถ้างานของคุณเกี่ยวกับการตกแต่งภาพถ่าย เล่นเกม ก็อาจเลือกซื้อรุ่น 7200 RPM หรืออาจจะเป็น 10,000 RPM เลยก็ได้หากทำงานประเภทตัดต่อวิดีโอเป็นหลัก ซึ่งฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วในการหมุนจานแม่เหล็กสูงและมีขนาดของแคชภายใน มากจะช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงานให้กับคุณมากยิ่งขึ้น

วิธีการแก้ไขเบื้องต้นเมื่อ Ipod มีปัญห

สำหรับท่านที่มี Ipod ใช้งานเป็นประจำ หรือว่า มี Ipod ไว้ในครอบครอง อาจจะต้องเคยเจออาการค้าง หรือเปิดไม่ติด ซึ่งนั่นมีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุด้วยกัน และคิดว่า ทุกท่านก็คงต้องเคยเจอกันมาบ้างไม่มากก็น้อย

และนั่น ทำให้หลายๆ ท่านคิดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง จนกระทั่งต้องเสียเวลาไปร้าน หรือเข้าศูนย์ฯ ในที่สุด ทั้งๆ ที่อาจจะเป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง

สำหรับวิธีการแก้ไขเบื้องต้น สำหรับ Ipod มีปัญหา หรือค้าง

1. สิ่งแรกที่สุดเมื่อ Ipod ของคุณค้าง หรือเปิดไม่ติด สำหรับท่านที่เพิ่งเริ่มต้นใช้งาน Ipod อาจจะยังไม่คุ้นกับอาการค้าง หรือเปิดไม่ติด ให้นึกง่ายๆ คือ เหมือนกับอาการค้างของ Windows ที่มีหน้าจอสีฟ้าๆ นั่นล่ะครับ ซึ่งทันทีที่พบอาการไม่ว่าอาการค้าง หรือเปิดไม่ติด ให้ลองเสียบสายชาร์ต หรือเสียบสายต่อเข้ากับ computer เพราะว่าบางครั้งอาจจะเกิดจากอาการแบตเตอรี่อ่อน หรือแบตเตอรี่หมด เท่านั้นเองครับ

จะไม่ค่อยพบอาการค้างจากปัญหาแบตเตอรี่ กับ Ipod เครื่องใหม่ๆ แต่มักพบกับเครื่องที่มีอาการใช้มาแล้วซักระยะหนึ่ง และมีการใช้ชาร์ตแบตเตอรี่ หรือชาร์ตแบตเตอรี่ไม่ถูกต้องนั่นเอง

2. หากวิธีแรก หรือว่าไฟเต็มแล้วแต่ยังไม่สามารถใช้งานได้ ก็ให้ลองทำการ Reboot software ของ ipod ใหม่ (คล้ายๆ กับการสั่ง restart windows ใหม่นั่นเอง) โดยให้กด Menu + ปุ่มกลาง (ปุ่มกลางวงกลมนั่นล่ะครับ) โดยให้กดสองปุ่มนี้พร้อมกัน ทิ้งไว้ซักระยะ เครื่องก็จะทำการ Reboot ครับ

แต่ ไม่ต้องกลัวว่าข้อมูลต่างๆ จะหายไป เพราะวิธีการนี้เป็นแค่วิธีการสั่ง reboot เท่านั้น เหมือนกับการสั่ง restart ใน windows เพื่อให้โปรแกรมกลับมาเป็นปรกติ อีกครั้งหนึ่งนั่นเอง มิได้เกี่ยวข้องกับตัวข้อมูลเราแต่อย่างใดครับ

3. หากยังไม่ได้ เพราะสั่ง reboot แล้วเปิดไม่ติด สาเหตุที่พบบ่อยคือ อาการค้างจาก battery อ่อนมากๆ เมื่อเราสั่ง reboot ตามข้อ2 แล้ว ทำให้เมื่อ ipod เปิดขึ้นมาไม่สามารถทำงานต่อได้ เพราะใช้ไฟจากแบตเตอรี่ไปจนหมดไปแล้ว ทั้งการปิดตัวเอง และพยายามเปิดตัวเองใหม่ ให้ทำการเสียบชาร์ตไฟ ทิ้งไว้จนเต็ม จะช่วยให้กลับมาเปิดใช้งานได้อีกครั้ง เมื่อแบตเตอรี่เต็ม

4. หากทั้งสามข้อที่ผ่านมา ยังไม่สามารถทำให้ ipod ของคุณใช้งานได้ จำเป็นที่ต้องเยียวยาเพิ่มมากขึ้นอีก ซึ่งจำเป็นต้อง Reset เครื่องให้กลับมาเป็นค่าเดิมจากโรงงาน ซึ่งขอเตือนก่อนว่า ขั้นตอนนี้ อาจจะทำให้ข้อมูลบางอย่างเสียหาย หรือหายไปได้ ดังนั้นในขั้นตอนนี้ จึงควรพิจารณา และทำอย่างรอบคอบ พยายามอย่าให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณดับ หรือ ค้างในขณะที่กำลังทำในขั้นตอนนี้ และควรต่ออินเตอร์เน็ตในขั้นตอนนี้ด้วย

สำหรับสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ คือ โปรแกรม Ipod Updater ซึ่งเป็นโปรแกรม utillity ที่มาพร้อมกับ ipod ของคุณอยู่แล้วครับ ลองหาดูในแผ่นซีดีที่แถมมากับเครื่อง ipod

จาก นั้นต่อ ipod เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ และรันโปรแกรม ipod updater โปรแกรมจะทำการเช็ค firmware ในเครื่อง ipod ของคุณ กับระบบของ apple และทำการ update ระบบใหม่ทั้งหมด

จากนั้นให้เลือก Restore ระบบก็จะทำการ reset กลับไปเป็นเหมือนจากตอนที่ออกมาจากโรงงานใหม่ๆ นั่นเอง และนั่นก็จะทำให้เคลียร์ข้อมูลเกือบทั้งหมด ดังนั้นข้อมูลต่างๆ จะหายไปนะครับ จึงควรคิดให้รอบคอบก่อนที่จะลงมือ

5. หากวิธีที่กล่างมาทั้งหมดยังไม่สามารถทำให้ ipod ของคุณใช้งานไดเป็นปรกติแล้วล่ะก็ อาจจะเกิดปัญหาจากตัวของชิ้นส่วนของ ipod ของคุณเสียแล้ว ซึ่งปรกติมักจะเป็นที่แบตเตอรี่ และตัวของหน่วยความจำหลัก ของเครื่องนั่นเอง ซึ่งหากเครื่องของคุณยังอยู่ในระยะประกันแล้ว ก็ควรจะส่งเข้าศูนย์เพื่อตรวจเช็คทันทีครับ หรือแม้ว่าหมดประกันแล้ว ทางรอดของ Ipod ของคุณก็ควรจะส่งเข้าศูนย์เช่นกัน

สาวสวยคนนึง เขียนถึงหนุ่มๆในเน็ท ทุกคน เด็ดมาก

ก่อนอื่นดิฉันขอสาบานว่าสิ่งที่ดิฉันพูดเป็นความจริงค่ะ ดิฉันอายุ 25 ปีค่ะ ความสูง 170 ซม. น้ำหนัก 50 กิโล ส่วนสัด 34-24-36 ผมยาว หน้าตาจัดว่าสวยมาก เซ็กซี่ มีรสนิยม ดิฉันอยากจะแต่งงานกับผู้ชายรายได้สักสองแสนบาทอัพต่อเดือนสักคน คุณอย่าเพิ่งมองฉันโลภนะคะ รายได้ประมาณสองแสนเนี้ยแค่ชนชั้นระดับกลางๆในห้องสินธรหรือวงการตลาดหุ้นเอง ฉันไม่ได้เรียกร้องมากไปใช่ไหมคะ มีใครในพันทิพ ห้องสินธร นี้ที่รายได้เกินสองแสนบ้างคะ พวกคุณแต่งงานไปกันหมดหรือยัง กรุณาช่วยตอบดิฉันทีค่ะ คือดิฉันอยากแต่งงานกับคนรวยๆ อย่างพวกคุณ พวกที่ดิฉันคบด้วยนี่มีแต่พวกธรรมดาๆรายได้อย่างมากไม่เกินสามหมื่นเอง รายได้แค่นี้จะอุตริไปซื้อบ้านแถวสีลมเนี่ย ยังได้แค่มองเลยใช่ไหมคะ ดิฉันมีคำถามดังนี้ค่ะ กรุณาช่วยตอบด้วยนะคะ

1. หลังจากตลาดหุ้นปิด พวกคุณมักไปต่อที่ไหนกันคะ ( ชื่อร้าน , ผับ , fitness, ฯลฯ)
2. ถ้าจะแอบมองสาว คุณจะมองสาววัยไหนคะ
3. ทำไมคนที่แต่งงานกับคนรวยๆถึงมีแต่พวกอาซิ่มเฉิ่มๆ รสนิยมห่วยๆล่ะคะ
4. คุณใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการเลือกคนที่คุณจะแต่งงานด้วยคะ

หลังจากนั้นไม่เกิน 30 นาที ก็มีเมล จากชายหนุ่มคนนึงส่งมาถึงเจ้าหล่อนว่า

ถึงคุณสุดสวยครับ...

หัวข้อกระทู้ของคุณน่าสนใจมากครับ และคงมีผู้หญิงหลายคนมีคำถามเดียวกันกับคุณ ขออนุญาตตอบคำถามในมุมมองของคนเล่นหุ้นแบบผมนะคับ

รายได้ของผมจากการเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และลงทุนในตลาดหุ้นมากว่า 10 ปี อยู่ที่ประมาณห้าแสนบาท ต่อเดือนขาดเหลือนิดหน่อย ซึ่งก็น่าจะผ่านเกณฑ์ของคุณ ดังนั้นผมเชื่อว่าคำตอบของผม น่าจะไม่ทำให้คุณเสียเวลาอ่านนะครับ

จากมุมมองของผมซึ่งเป็นนักธุรกิจ การที่แต่งงานโดยเลือกเฉพาะที่ความสวยเพียงอย่างเดียวนั้น ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด คำตอบนั้นง่ายมาก อธิบายตามตรง จากข้อมูลที่คุณให้มา คุณพยายามจะเน้นจุดแข็งของสินค้าคือ ' ความสวย ' เพื่อแลกกับ ' เงิน '
เมื่อคุณมีความสวย และผมมีเงิน แน่นอนว่ามัน Fair และน่าจะเป็นไปได้กับโอกาสทางธุรกิจที่คุณเสนอแต่ก็ติดปัญหาที่ว่าความสวยของคุณนั้นจืดจางลงทุกวัน ในขณะที่เงินของผมไม่ได้ไปไหน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร หรือในอีกนัยหนึ่ง รายได้ของผมมีแต่จะเพิ่มทุกปีและเงินของผมก็สามารถนำไปให้ก่อให้เกิดผลตอบแทนงอกเงยขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่คุณไม่ได้สวยขึ้นเมื่อข้ามปี และมีแนวโน้มที่จะลดลงๆ ในแต่ละปีที่ผ่านไปเช่นกัน
ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ คุณคือสินทรัพย์ที่เสื่อมค่า ไม่ได้เสื่อมธรรมดานะ เสื่อมแบบอัตราก้าวหน้า ดังนั้นถ้าความสวยคือสิ่งเดียวที่คุณมี ก็จงคิดต่อว่า 10 ปีข้างหน้าจะทำอย่างไร

นิยามที่เราใช้กันในตลาดหุ้น คือ ทุกๆ การ Trade มี Position การคบกับคุณก็ถือเป็น Position แต่ถ้า Value ของมันลดลง เราจะขายมันทิ้ง ไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะดันทุรังเก็บมันไว้ ซึ่งหมายถึงการแต่งงานที่คุณต้องการ อาจจะแทงใจดำถ้าผมต้องบอกคุณตรงๆอย่างจริงใจว่า ถ้า Value ของ Asset ลดลงเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ขายทิ้ง เราจะ ใช้วิธีการ ' ให้เช่าซื้อ ' แทน
แน่นอนว่าคนที่มีรายได้เกินสองแสนบาทต่อเดือนฉลาดพอ พวกเขาแค่คบคุณ แต่จะไม่แต่งงานกับคุณ

ดังนั้นจึงขอแนะนำคุณอย่างหวังดีว่าคุณควรที่จะหยุดที่จะหาวิธีที่จะได้แต่งงานกับคนรวย และคุณควรที่จะทำให้ตัวเองเป็นคนที่มีรายได้เกินสองแสนบาทแทนซะเอง ซึ่งในทางเทคนิคแล้วน่าจะมีโอกาสมากกว่าการหาคนรวยแต่โง่คนนึง ( รวยธรรมดาอย่างเดียวไม่พอ ต้องโง่พร้อมด้วย) หวังว่าคำตอบนี้จะช่วยคุณได้บ้าง อย่างไรก็ตามถ้าหากคุณสนใจ option ในบริการ ! ' เช่าซื้อ ' กรุณาติดต่อผม..... เพื่อทำ Bid offer ในโอกาสต่อไป !!!


ที่มา: Bbberry.net

"burn-in" หูฟังคำถามยอดฮิตสำหรับคอ MP3

ช่วงนี้ถ้า เข้าไปอ่านกระทู้ในโต๊ะ Gadget ของหมวด Technical Exchange จะมีคำถามหนึ่งที่จะเห็นประจำทุกวันนอกจากที่ว่าจะซื้อ MP3 รุ่นไหนดีแล้วก็คือจะมีคำถามว่า "burn-in หูฟังคืออะไร" หรือ "เบิร์นหูฟังต้องทำอย่างไรบ้างครับ" จนตอนนี้คำถามดังกล่าวเป็นคำถามยอดฮิตเลยก็ว่าได้ครับตอนนี้ ซึ่งถ้าพวกที่เคยศึกษาด้านเครื่องเสียงมาก่อนจะพอรู้ว่า "burn-in" คืออะไรบ้างแล้ว เพราะนอกจากจะเขาจะ "burn-in" หูฟังแล้ว ชุดลำโพงก็ต้องทำการ "burn-in" ด้วยเช่นกันครับ พอดีไปค้นข้อมูลเพิ่มเติมจากเวบต่างประเทศมาก็จะรวบรวมๆนำมาแปลไว้ในที่นี้ เพื่อที่จะได้พอไขความสงสัยไปบ้างครับ

คลิกเพื่อดูภาพขนาดจริง
AKG
"burn-in" คืออะไร?
การ "burn-in" หรือที่มักเรียกติดปากคนไทยว่าการเบิร์นนั้นจริงๆถ้าจะเทียบก็คล้ายๆการ run-in รถยนต์ใหม่ให้เครื่องเข้าที่ครับ แต่หลายๆท่านจะเข้าใจว่าหูฟังนั้นเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า จะไปเทียบกับรถยนต์ไม่ได้ แต่จริงๆแล้วหูฟังจะมีพวกแผ่นไดอะแฟรมที่เคลื่อนไหวให้เกิดเสียงครับ การ "burn-in" หูฟัง หรือลำโพงนั้นก็คือการทำให้แผ่นไดอะแฟรมเหล่านี้เข้าที่เข้าทาง มีการให้ตัวตามที่ควรจะเป็นไม่ได้ตึงแน่นเหมือนกับตอนที่เขาประกอบมาจากโรง งานครับ ซึ่งเมื่อ "burn-in" เข้าที่เข้าทางแล้วคุณภาพเสียงที่ออกมาจากหูฟังก็จะไม่เปลี่ยนไปจากนั้นแล้ว ครับ เพราะไดอะแฟรมจะเข้าที่แล้ว

ถ้าจะ "burn-in" หูฟังหรือลำโพงควรจะทำอย่างไร?
การ "burn-in" นั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรครับ แค่ต่อหูฟัง หรือลำโพงเข้ากับแหล่งกำเนิดเสียง จะเป็นวิทยุ AM/FM หรือ CD หรือ MP3 ก็ได้ครับ แล้วก็เปิดให้มีเสียงออกมาจากหูฟังไปเรื่อยๆต่อเนื่อง เท่าที่อ่านดูจากหลายๆแห่งก็แนะนำให้ "burn-in" เป็นระยะเวลาสัก 100ชั่วโมงขึ้นไป หูฟัง หรือชุดลำโพงนั้นก็จะเข้าที่เข้าทางแสดงเสียงออกมาดูดีมีราคาขึ้นกว่าตอนที่ ซื้อมาครับ แต่ถ้าไม่อยากจะเปิดเพลงทิ้งให้หูฟัง "burn-in" ต่อเนื่องก็จะสามารถใช้ฟังเพลงตามปรกติไปเรื่อยๆได้ครับ ก็ถือว่า "burn-in" ได้เช่นกัน แต่แบบนี้กว่าจะ "burn-in" ได้ที่ก็ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าสักระยะหนึ่ง ดังนั้นหลายๆคนจึงเลือกที่จะ "burn-in" หูฟังทิ้งไว้ต่อเนื่องก่อนที่จะนำไปใช้งานจริงครับ นอกจากจะ "burn-in" ด้วยเพลง หรือสัญญาณเสียงจากวิทยุแล้ว บางท่านก็จะมีโปรแกรมสำหรับ generate คลื่นเสียงออกมาสำหรับ "burn-in" หูฟังโดยเฉพาะครับ ลองหาโหลดมาใช้ได้ ซึ่งผลที่ได้รับในท้ายสุดก็คือไดอะแฟรมจะถูกปรับสภาพให้เข้าที่เช่นกันครับ ก็เลือกวิธีตามสะดวกได้เลยครับ ส่วนระหว่างการ "burn-in" นั้นจะเอาหูฟังมาสวมฟังเพลงไปเลย หรือจะเอาไปยัดใต้โต๊ะก็ได้เช่นกันครับ

จำเป็นที่จะต้อง "burn-in" หูฟังให้เสร็จก่อนที่จะนำไปใช้จริงหรือไม่?
ไม่ จำเป็นครับอย่างที่บอกไว้แล้วคือแล้วแต่สะดวก เพราะถึงแม้ว่าจะแกะกล่องออกมาแล้วใช้งานเลย ใช้ไปสักระยะนึงหูฟังก็จะเข้าที่เข้าทางเช่นกัน ก็เป็นการ "burn-in" ชนิดหนึ่งได้ แต่หลายๆคนอยากจะให้เสียงของหูฟังเข้าที่ก่อนที่จะนำมาใช้งานจริง ก็มักจะเลือกที่จะทำการ "burn-in" ก่อนนำมาใช้งานจริง แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่จำเป็นต้องลำบากครับ

จำเป็นหรือไม่ที่หลัง จาก "burn-in" แล้วเสียงของหูฟังจะดีขึ้นกว่าตอนซื้อมาใหม่มาก?
ข้อ นี้ก็ไม่จำเป็นเสมอไปครับ ต้องแล้วแต่รุ่น หรือแล้วแต่หูฟังแต่ละตัวเลยครับ บางตัวที่ประกอบมาแล้วพอดีชิ้นส่วนต่างๆเกือบจะเข้าที่อยู่แล้วพอ "burn-in" เสร็จก็แทบจะไม่เห็นผลเท่าใดนัก แต่บางตัวที่ส่วนประกอบไดอะแฟรมค่อนข้างจะตึงมากพอ "burn-in" แล้วก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากอย่างเห็นได้ชัดครับ การ "burn-in" เป็นการทำให้หูฟังเข้าที่ตามที่มันควรจะเป็นเฉยๆ ไม่ใช่การทำให้คุณภาพเสียงดีขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นนะครับต้องเข้าใจในจุดนี้ ด้วย
โดย: เอ้ [14 มี.ค. 53 16:42] ( IP A:124.122.238.125 X: )
ความคิดเห็นที่ 1
การ "burn-in" นานเกินไปจะทำให้เกิดผลเสียหรือไม่?
การ "burn-in" นั้นอย่างที่บอกไว้คือการทำให้ชิ้นส่วนขับเสียงของหูฟังเข้าที่เข้าทางอย่าง ที่มันควรจะเป็น และเมื่อ "burn-in" ถึงจุดนั้นแล้วชิ้นส่วนต่างๆก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากนั้นแล้ว ฉะนั้นถึงจะ "burn-in" นานกว่าเดิมไปเท่าไรเสียงก็จะยังคงเหมือนจุดที่ "burn-in" เข้าที่พอดีครับไม่มีผลใดๆ

ระดับเสียงที่ใช้ระหว่าง "burn-in" ควรจะเป็นที่ประมาณเท่าใด?
ระดับ เสียงที่จะใช้นั้นก็ประมาณที่เราใช้ฟังเพลงปรกติและสบายหูละครับ หรืออาจจะดังกว่าที่เราฟังปรกตินิดๆหน่อย เพราะถ้าเปิดเสียงดังมากไปอาจจะสร้างความเสียหายให้หูฟังเสียไปได้เลยครับ ดังนั้นเสียงไม่ควรที่จะดังมากไปครับ แต่ถ้าเสียงเบามากไปก็จะไม่ค่อยมีผลในการ "burn-in" เช่นกันครับ

หวัง ว่าบทความนี้น่าจะช่วยไขข้อข้องใจไปบ้างนะครับ ทิ้งท้ายไว้นะครับว่า "burn-in" ไม่ใช่วิธีพิเศษอะไรที่จะทำให้หูฟังคุณภาพต่ำมีเสียงระดับหูทิพย์ฟัง แค่เป็นการทำให้ชุดหูฟังเข้าที่เข้าทางเปล่งเสียงออกมาได้ตามสเป็คที่โรงงาน ผลิตออกมาเท่านั้นครับ

http://www.pantip.com/tech/article/article.php?id=84

วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556

ข่าวดี ...มอเตอร์เวย์ บูรพาวิถี วิ่งฟรีสงกรานต์ 2556

วัน ที่ 3 เม.ย.2556 นายชัชวาลย์ บุญเจริญกิจ อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทล.จะเปิดให้ใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 9 บางปะอิน-บางพลี และหมายเลข 7 กรุงเทพฯ-ชลบุรี ฟรีระหว่างเวลา 16.00 น. ของวันที่ 10 เม.ย. ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 16 เม.ย. เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางช่วงเทศกาล ลดปัญหาการจราจรติดขัด ส่วนมาตรการดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกการเดินทางช่วงเทศกาล ได้สั่งการให้แขวางการทางทุกแห่ง ออกตรวจตราดูแลสภาพถนนในพื้นที่ให้เรียบร้อย รวมถึงติดตั้งป้ายบอกทาง ป้ายแนะนำ ป้ายเตือน และป้ายบอกเส้นทางเลี่ยงตามจุดต่างๆ ให้ประชาชนสามารถเลือกใช้เส้นทางได้สะดวก เลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัดที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ยังได้แจกแผ่นพับแผนที่แนะนำเส้นทางต่างๆ ทั่วประเทศ บริเวณเต้นท์บริการของ ทล. ทั้งนี้ร่วมมือกับตำรวจทางหลวงในการดูแลจัดการจราจรตามเส้นทางถนนสายหลัก ขาออกระหว่างวันที่ 11-12 เม.ย. และขาเข้าวันที่ 16 เม.ย. โดยเฉพาะที่ทางแยกต่างระดับบางปะอิน และแถวมวกเหล็ก พุแค ของสายอีสาน รวมถึงแยกวังมะนาว ของสายใต้ ขณะที่สายเหนือมีปัญหาการจราจรติดขัดน้อย เพราะมีเส้นทางเลือกมาก เป็นห่วงจุดเดียวที่ตัวเมืองนครสวรรค์
ส่วน วันที่ 13-15 เม.ย. จะเน้นการบังคับใช้กฎหมายในเรื่องความเร็ว และเมา เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ อย่างไรก็ตามฝากประชาสัมพันธ์แก่ประชาชนที่จะเดินทางออกต่างจังหวัดในช่วง เทศกาล สามารถโทรสอบสภาพการจราจรจุดต่างๆ บนถนนสายหลักได้ที่คอลเซ็นเตอร์ของกรมทางหลวง หมายเลข 1586 ก่อนออกเดินทาง 1 ชั่วโมง จะช่วยวางแผนการเดินทางได้ดียิ่งขึ้น โดยปีนี้ ทล.ได้ติดกล้องซีซีทีวีในจุดต่างๆ ที่มีความสำคัญเพื่อดูสภาพการจราจรตลอด 24 ขั่วโมง ในวันที่ 4 เม.ย. กรมฯ จะมีพิธีปล่อยขบวนรถในการอำนวยความสะดวกและปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2556 โครงการ “เดินทางอุ่นใจ ปลอดภัยไปกับกรมทางหลวง” ร่วมกับตำรวจทางหลวง มี พล.อ.พฤณฑ์ สุวรรณทัต รมช.คมนาคม เป็นประธาน
นาย อัยยณัฐ ถินอภัย ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า กทพ.อยู่ระหว่างเตรียมเสนอกระทรวงคมนาคม เพื่อขอเว้นยกการเก็บค่าผ่านทางพิเศษ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างเวลา 00.01 น. วันที่ 10 เม.ย. ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 16 เม.ย.นี้  โดยจะเสนอขอยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา-ชลบุรี)  ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  Daily News Online  http://www.dailynews.co.th/bkk/195096

ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต นางแบบคนล่าสุด เป็นดาราไทยคนแรกที่ขึ้นปกนิตยสาร L'OFFICIEL ประเทศไทย

ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต นางแบบคนล่าสุด เป็นดาราไทยคนแรกที่ขึ้นปกนิตยสาร L'OFFICIEL ประเทศไทย  ฉบับเดือนเมษายน 2556
ภาพปกจาก  L'Officiel Thailand  

วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2556

ไม้มงคล กับราศีทั้ง 12 ราศี

ไม้มงคล กับราศีทั้ง 12 ราศี

มนุษย์มีความเชื่อที่ผูกพันกับต้นไม้มาเป็นเวลาช้านาน เช่น เรื่องต้นไม้มงคล ต้นไม้ต้องห้าม ต้นไม้ที่ปลูกแล้วมีรัก หรือปลูกแล้วไร้รัก เป็นต้น จนถึงปัจจุบันความเชื่อเหล่านี้ก็ยังคงมีอยู่ วันนี้ บ้านไอเดีย มีความเชื่อเกี่ยวกับ ต้นไม้มงคลกับราศีเกิด มาฝากกันค่ะ ราศีไหน ปลูกต้นอะไรแล้วจะเสริมชะตาชีวิตให้ดีขึ้นบ้าง
  • ราศีมังกร  (16 ม.ค.–15 ก.พ.) ไม้มงคล คือ วาสนา โป๊ยเซียน แก้ว  กุหลาบ ไผ่ ราชพฤกษ์ และจำปีทำให้เงินทองไหลมาเทมา มีโชค มีลาภ ส่งเสริมบุญญาบารมี วาสนา มีความมั่นคงในชีวิต กิจการเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า มีความอดทนอดกลั้น ควรปลูกข้าง หรือหลังบ้าน แต่ห้ามปลูกบริเวณหน้าบ้าน เพราะเป็นบริเวณของปากมังกร
  • ราศีกุมภ์  (16 ก.พ.-15 มี.ค.)  ไม้มงคล คือ เฟื่องฟ้า และบอนไซ จะช่วยส่งเสริมพลังทางด้านความคิด กิจการก้าวหน้ามั่นคง ชีวิตเจริญรุ่งเรือง มีความสามารถในการปรับตัว อดทนต่ออุปสรรค ปัญหา และทำให้มีอายุยืนยาว
  • ราศีมีน  (16 มี.ค.–15 เม.ย.)  ไม้มงคล คือ กล้วยไม้ วาสนา และเฟื่องฟ้า  ช่วยให้มีอุปนิสัยเยือกเย็น อ่อนโยน เป็นที่ประทับใจต่อผู้พบเห็น คนในครอบครัวมีศีลธรรม มีชีวิตที่สดใส เบิกบาน รุ่งเรือง มีโชคลาภวาสนา
  • ราศีเมษ  (16 เม.ย.–15 พ.ค.) ไม้มงคล คือ ต้นมะยม มะขาม ช่วยให้มีความสำเร็จในชีวิต หน้าที่การงาน เป็นที่นับถือ เกรงขาม ผู้คนให้ความนิยมชมชอบ
  • ราศีพฤษภ  (16 พ.ค.–15 มิ.ย.) ไม้มงคล คือ ต้นโมก  ช่วยปกปักรักษาให้มีความปลอดภัย  ป้องกัน ขับไล่สิ่งไม่ดี ให้ออกไปจากชีวิต ทำให้มีความสุข สดใส  ควรปลูกในทิศตะวันตกเฉียงเหนือของบ้าน และปลูกในวันเสาร์
  • ราศีเมถุน  (16 มิ.ย.-15 ก.ค.) ไม้มงคล คือ ทับทิม โป๊ยเซียน กุหลาบ และโมก ช่วยให้ชีวิตมีความสงบ ร่มเย็น อยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีอุปสรรคมากล้ำกลาย มีโชคลาภ
  • ราศีกรกฎ  (16 ก.ค.–15 ส.ค.) ไม้มงคล คือ ชมพู่ พลูด่าง กล้วยไม้ และวาสนา ทำให้มั่งมีทรัพย์สิน เงินทอง มีความสุข ความสมหวัง ครอบครัวร่มเย็น เป็นสุข  ชีวิตสดใส เบิกบาน
  • ราศีสิงห์  (16 ส.ค.–15 ก.ย.) ไม้มงคล คือ ขนุน จำปี โป๊ยเซียน กล้วยไม้  ช่วยให้มีคนสนับสนุน ให้ความอุปการะ  อุดหนุนจุนเจือ เสริมบุญบารมี การงาน กิจการสดใส รุ่งเรือง ก้าวหน้า ปราศจากปัญหาและอุปสรรค
  • ราศีกันย์  (16 ก.ย.–15 ต.ค.) ไม้มงคล คือ สนฉัตร ราชพฤกษ์ และต้นขนุน มีความสง่างาม มีเกียรติ มีศักดิ์ มีศรี บุญบารมี ผู้คนนับหน้าถือตา  ร่ำรวยเงินทอง
  • ราศีตุลย์ (16 ต.ค.–15 พ.ย.) ไม้มงคล คือ ต้นโกสน หมากแดง ปาล์ม ช่วยคุ้มครอง ป้องภัย ปกปักรักษา ให้อยู่ดีมีสุข ช่วยเสริมบารมี การงานก้าวหน้า มีความเจริญรุ่งเรือง
  • ราศีพิจิก (16 พ.ย.–15 ธ.ค.) ไม้มงคล คือ พวงแสด เบญจมาศ ว่านสี่ทิศ  ทำให้ชีวิตมีความสว่างไสว รุ่งเรือง เจริญก้าวหน้า มีความมั่นคง แคล้วคลาดปลอดภัย ผู้คนให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ
  • ราศีธนู ( 16 ธ.ค.–15 ม.ค.) ไม้มงคล คือ บัว เฟิร์นข้าหลวง  แก้ว  ทำให้จิตใจบริสุทธ์ เบิกบาน คนในครอบครัวมีความรัก ความผูกพันกัน มีชื่อเสียงเกียรติยศ เป็นที่รักใคร่ ช่วยขจัดอุปสรรคปัญหาต่างๆให้ออกไปจากชีวิต
http://www.banidea.com/good-trees-of-zodiac/

ข้อคิดที่ได้จากการทำงานมาครบ 10 ปี

ข้อคิดที่ได้จากการทำงานมาครบ 10 ปี

1. วิธีการขึ้นเงินเดือนที่เร็วที่
สุดคือการย้ายงาน ไม่ใช่ขึ้นตำแหน่งในบริษัทเดิม
2. ครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุด บริษัทไม่รักคุณเท่าครอบครัวของคุณหรอก
3. อย่าทำงานจนละเลยสุขภาพของตัวเอ
4. ไอ้คนที่พูดแต่เรื่องให้คุณเสียสละทุกอย่าง ถวายตัวกับงาน office คือบ้าน ต้องกลับดึก ฯลฯ , พูดเรื่อง company loyalty/spirit/team work ซ้ำไปซ้ำมา คือคนที่หลอกใช้คุณเพื่อความเจริญของเขาเอง
5. คนที่เจริญได้เพราะนำเสนอ+ทำ powerpoint+สรุปงานเก่ง แต่ทำงานไม่ได้เรื่องเหี้ยอะไรเลยมีอยู่จริง คุณเหนือกว่าพวกเค้าได้ด้วยการทำงานให้เก่งด้วย+present ตัวเองเก่งด้วย
6. ควรเก็บออมเงินตั้งแต่ปีแรกของการทำงาน เพราะปีแรกของการทำงานคุณจะสนุกกับการใช้เงินจนลืมเก็บตังค์
7. ผมเคยทำงานแบบถวายหัวชนิดทิ้งทุกอย่าง ทิ้งบ้านทิ้งครอบครัว ทิ้งเพื่อนฝูง เพื่องาน เพื่อลูกค้า เพื่อบริษัท สุดท้ายผมก็ได้เรียนรู้ว่าผลตอบแทนที่ได้รับไม่ว่าจะเป็นเงิน ลมปาก เหล้า-เบียร์ฟรี ข้าวฟรี มันชดเชยสิ่งที่ผมเสียไปไม่ได้เลย
8. ตอนคุณไปคุยเรื่องขอลาออก ถ้าเค้า offer ตำแหน่งให้ถ้าคุณอยู่ต่อ นั่นเป็นเรื่องโกหก 100% คุณอยู่ต่อคุณก็ไม่ได้ขึ้นตำแหน่งหรอก
9. ความสามารถในการขวนขวายหาความรู้ด้วยตัวเองและกล้าที่จะลองผิดลองถูก จะช่วยให้คุณไปได้ไกลกว่าไอ้พวกงอมืองอเท้ารอคนอื่นมาสอน
10. เพื่อนร่วมงานมีทั้ง “เพื่อน” และ “คนรู้จัก” อย่าไปขาดหวังว่าทุกคนจะเป็นเพื่อนที่จริงใจกับคุณ
11. จงพยายามเรียนรู้สิ่งต่างๆ นอกเหนือจากอะไรที่เกี่ยวกับงานที่คุณทำอยู่เสมอ หลายๆ อย่างที่คุณไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวกับงาน มันสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานได้
12. ภาษาอังกฤษสำคัญมาก
13. จงใช้วันลาพักร้อนให้เต็มที่ อย่าเกรงใจ มันเป็นสิทธิ์ของคุณ
14. ความอดทน ใจเย็น สำคัญมาก จงหัดทำหน้ายิ้มแต่ด่าไอ้เห้ในใจไว้
 

13 วิธี ในการเพิ่มความสุขให้กับชีวิต


13 วิธี ในการเพิ่มความสุขให้กับชีวิ

การสร้างความสุขให้กับตนเอง จริงๆ แล้วทำไม่อยากหรอกครับ แต่ขึ้นอยู่กับว่า คนเราจะทำหรือเปล่าเท่านั้น วันนี้ผมมีข้อแนะนำมาฝาก สำหรับการสร้างความสุขให้ตนเองแบบง่ายๆ ลองทำดูนะครับ

1. ดื่มน้ำทุกชั่วโมง เวลาทำงานเรามักยุ่งจนลืมดื่มน้ำ ทางแก้คือ วางแก้วน้ำหรือขวดน้ำไว้ใกล้มือแล้วจิบบ่อยๆ พบว่าหากปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำจนน้ำหนักตัวลดลงแม้แค่ 2 เปอร์เซ็นต์ จะมีผลให้ให้ความจำระยะสั้นและทักษะการแก้ปัญหาลดลง เมื่อไรที่รู้สึกกระหายน้ำ นั่นคือสัญญาณเตือนว่าขาดน้ำแล้ว

2. ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ แต่ต้องเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจด้วยนะ เพราะจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนรับรู้ความสุข หากวันไหนรู้สึกเศร้าจนยิ้มไม่ออก โทรศัพท์ไปหาเพื่อนที่มุขเยอะหรืออยู่ใกล้คนอารมณ์ดีเข้าไว้ จะทำให้คุณยิ้มได้ เพราะคนเรามีแนวโน้มเลียนแบบอารมณ์ของคนที่พูดคุยด้วย

3. เช็คท่าทางของตัวเอง ขณะนั่งทำงานเรามักโน้มตัวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว ทำให้กล้ามเนื้อหลังส่วนบนยืดขึ้นจนอาจบาดเจ็บได้ ทางที่ดี ทุก 2 - 3 ชั่งโมง คุณควรเช็คท่านั่งของตัวเองเพื่อบุคลิกและสุขภาพที่ดี ท่าที่เหมาะสมคือ นั่งให้สะโพกและไหล่อยู่ในแนวตรงกัน ไม่ต้องถึงกับหลังตรงมากเกินไป ต้นขาขนานพื้น โดยให้ข้อเท้าอยู่ล้ำหัวเข่าออกไปเล็กน้อย หากต้องนั่งทำงานเป็นเวลานานควรผ่อนคลายกล้ามเนื้อวันละ 2 - 3 ครั้ง โดยนั่งหลังตรง กางแขนทั้งสองขึ้นด้านข้างระดับไหล่ งอศอกให้มือทั้งสองแตะศีรษะ แล้วบีบสะบักหลังเข้าหากัน ค้างไว้ 3 วินาที ทำซ้ำ 3 ครั้ง

4. คิดจินตนาการเรื่องดีๆ ก่อนนอน ใช้เวลาก่อนแค่ 2 - 3 นาที วาดฝันเรื่องที่ทำให้คุณมีความสุข เช่น ทริปสุดสนุกช่วงพักร้อน ดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับหวานใจ หรือคำชมจากเจ้านาย เทคนิคนี้ช่วยให้หลับได้เร็วและสนิทมากขึ้น ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจและสมาธิ

5. ผูกมิตรเพื่อนใหม่ แม้คุณจะเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ไม่ว่ากับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างานหรือแม้แต่กับแม่บ้าน ก็ไม่ควรละเลยการทำความรู้จักผู้คนใหม่ๆ ด้วย เพราะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจมากขึ้นและเปิดโลกทัศน์ของตนเอง ที่สำคัญคือ เป็นผลดีต่อหัวใจ พบว่าคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมีความดันโลหิตต่ำกว่าคนไม่เข้าสังคม ซึ่งมักจัดการความเครียดด้วยวิธีที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น

6. ใกล้ชิดธรรมชาติ จะลงมือพรวนดิน ใส่ปุ๋ย รดน้ำต้นไม้ หรือแค่เดินชมนกชมไม้ก็ให้ประโยชน์ทั้งนั้น ผลการศึกษาในอังกฤษพบว่า หากได้สูดกลิ่นไอดินจะทำให้สมองหลั่งสารความสุขชื่อ “เซโรโทนิน” (serotonin) ออกมามากขึ้น ถ้าบ้านของคุณมีพื้นที่ไม่มากนักปลูกไม้ประดับหรือสมุนไพรไว้ในบ้านก็ได้ นอกจากสร้างความสดชื่นแล้ว ยังสามารถนำมาปรุงอาหารจานสุขภาพ ซึ่งอุดมไปด้วยสารแอนติออกซิแดนท์อีกต่างหาก

7. ฟังเพลงขณะเดินทาง ฟังดนตรีจังหวะสบายๆ บรรเทาความเครียดได้ เพราะช่วยให้ระบบประสาทผ่อนคลาย ป้องกันไม่ให้ระดับฮอร์โมนความเครียด ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มสูงจนเกินไป ยิ่งร้องตามไปด้วยยิ่งส่งผลดี พบว่า การร้องเพลงช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและลดฮอร์โมนความเครียด คอร์ติซอล (cortisol) แถมยังเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ นอกจากนี้ขณะร้องเพลงเราจะสูดหายใจลึกขึ้น จึงเพิ่มปริมาณออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพื่อสร้างแอนติบอดีต่อสู้โรคหวัด

8. กินอาโวคาโด จะกินสดๆ หรือกินเมนูที่มีส่วนผสมของอาโวคาโดก็ดีต่อสุขถาพทั้งสิ้น เพราะในอาโวคาโดมีสารซึ่งช่วยฆ่าเซลล์บางชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และปกป้องเซลล์ดีไม่ให้กลายเป็นเนื้องอก จึงเป็นปราการป้องกันโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้อาโวคาโดยังเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอล รวมถึงมีสารแอนติออกซิแดนท์ที่ดีต่อหัวใจอย่างวิตามินซีและอี เพื่อรสชาติอร่อยแปลกใหม่ ลองใส่อาโวคาโดในสลัดแทนชีสได้รสชาติหอมมันไม่แพ้กัน

9. ตุนอาหารมีประโยชน์ ผู้หญิงที่ทำอาหารกินเองบ่อยๆ มีแนวโน้มกินผักและผลไม้มากขึ้น และรับไขมันเข้าสู่ร่างกายน้อยลง เมื่อเทียบกับคนที่มักกินตามร้านหรือซื้อมากิน นั่นเพราะคุณสามารถเลือกส่วนผสมที่ดีต่อสุขภาพมาใส่ในจานโปรดของคุณได้ ทุกสัปดาห์ ควรซื้อผักผลไม้สดและเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ อย่างเนื้อปลามาเก็บไว้ในตู้เย็น และเดือนละครั้ง หาอาหารแห้งมาตุนไว้ สิ่งที่ควรซื้อติดบ้าน ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ น้ำมันมะกอก ปลาทูน่ากระป๋อง ซอสมะเขือเทศ เครื่องเทศต่างๆ รวมทั้งของกินเล่น ประเภทผลไม้อบแห้งและถั่วต่างๆ

10. ทำความสะอาดบ้าน บ้านช่องที่สะอาด ปราศจากฝุ่นและเชื้อโรค นอกจากดีต่อสุขภาพกาย เพราะช่วยป้องกันคุณจาดโรคหวัดภูมิแพ้ และหอบหืดแล้ว ยังทำให้จิตใจแจ่มใสและอารมณ์ดีด้วย พบว่า ๙๘ เปอร์เซนต็ของคนทั่วไปรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นเมื่อบ้านสะอาด ดังนั้นเพียงจัดบ้านให้สะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบ ก็ช่วยลดเครียดได้แล้ว

11. พักการดูโทรทัศน์บ้าง จะทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเลิกดูโทรทัศน์ไปเลย เพียงเลือกดูเฉพาะรายการที่อยากดูจริงๆ เท่านั้น พบว่าคนที่ไม่เปิดโทรทัศน์นานสองสัปดาห์มีแนวโน้มเข้านอนเร็วขึ้น ทำให้ตื่นขึ้นมาด้วยความกระปรี้กระเปร่า จัดสรรหนึ่งวันในสัปดาห์ให้เป็น “วันปลอดโทรทัศน์” แล้วใช้เวลากับตนเอง ครอบครัว หรือเพื่อนฝูงมากขึ้น โดยชวนกันไปออกกำลังกาย กินมื้อเย็น ไปเดินห้าง หรืออาจฉกฉวยช่วงเวลานี้ทำสิ่งที่ชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นการขลุกอยู่กับหนังสือเล่มโปรด หรือขัดสีฉวีวรรณครั้งใหญ่ นอกจากรู้สึกผ่อนคลาย ผิวยังสวยขึ้นด้วย

12. วัดรอบเอว ไม่ใช่เพื่อรูปร่างที่ดูดีเท่านั้น แต่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย หากคุณมีรอบเอว ๓๕ นิ้วหรือเกินกว่านั้น แสดงว่าคุณมีไขมันหน้าท้องมากเกินไปแล้ว ทำให้เสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง

เริ่มวัดรอบเอวเดือนละครั้งตั้งแต่วันนี้ หากพบว่ามีขนาดเกินมาตรฐาน ควรหาหนทางลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี เช่น ออกกำลังกาย ลดปริมาณอาหาร กินผัก ผลไม้ ข้าวไม่ขัดสี และเนื้อสัตว์ไม่ติดมันเป็นประจำ ฯลฯ

13. อยู่ใกล้ดอกไม้ การเห็นดอกไม้สดใกล้ๆ ตัว ทำให้ผู้หญิงอารมณ์ดีขึ้นและวิตกกังวลน้อยลง การศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า เพียงได้ชมดอกไม้ชั่วครู่ในตอนเช้าช่วยให้สดชื่นไปตลอดทั้งวัน นอกจากในบ้านแล้ว ควรหาดอกไม้มาประดับแจกันบนโต๊ะทำงานด้วย หากไม่ชอบดอกไม้ เปลี่ยนเป็นไม้กระถางต้นเล็กๆ ก็ได้ ทำให้คุณหายใจสะดวกขึ้น เพราะช่วยเพิ่มก๊าซออกซิเจนและลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์